Politics

ตำรวจแถลงคดี ‘บอส อยู่วิทยา’ ละเอียดยิบ สั่งฟันขับรถเร็ว-เสพโคเคน!

บอส อยู่วิทยา ตำรวจแถลงคดีละเอียดยิบ! เคาะฟ้องใหม่ ขับรถเร็ว – เสพโคเคน ผลสอบคณะกรรมการ ตร.ยัน “พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ” ไม่บกพร่อง

ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.กฤษณะ ทรัพย์เดช จเรตำรวจ พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการใช้ดุลพินิจข้าราชการตำรวจกรณีไม่เห็นแย้งอัยการคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส อยู่วิทยา

พล.ต.อ.ศตวรรษ กล่าวว่า วันนี้ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการเสร็จสิ้นแล้ว โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้สั่งเพิ่มเติม 3 ประเด็น คือ

  1. มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ว่า การไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ เป็นการกระทำที่ชอบหรือไม่
  2. ให้ตั้งชุดพนักงานสอบสวนทำคดีนี้ใหม่ โดยใช้พยานหลักฐานที่รวบรวมมาได้ใหม่
  3. มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 11 นาย ที่เคยเป็นผู้สอบสวนและทำคดีนี้ โดยระบุว่ามีกี่คนที่โดนลงโทษแล้ว และที่ไม่ได้โดนลงโทษ ว่าทำอะไรบ้าง ซึ่งบางคนยังมีการเลื่อนตำแหน่งอยู่

บอส อยู่วิทยา

ด้าน พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ได้ไล่ไทม์ไลน์เหตุการณ์ตั้งแต่ปี 2555 จนถึงการสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าว โดยช่วงแรกคดีที่อยู่ในอำนาจชั้นพนักงานสอบสวน ตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2555 – 4 มีนาคม 2556 ช่วงที่สอง ชั้นพิจารณาของพนักงานอัยการ ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2556 – 20 มกราคม 2563 ในชั้นนี้ผู้ต้องหาได้ร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมา 2556 จนทำให้อัยการอาญาใต้ฯ มีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมถึง 10 ครั้ง ซึ่งพยานที่อัยการสั่งให้สอบเพิ่มเติมเป็นผู้ให้ปากคำชั้นพนักงานสอบสวน จำนวน 4 ปาก เป็นพยานเพิ่มเติมชั้นอัยการ 16 ปาก และช่วงที่สาม การทำความเห็นแย้ง

สำหรับผลการตรวจสอบความบกพร่อง ของ พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ไม่พบความบกพร่อง เนื่องจากการพิจารณาคำแย้งคำสั่งพนักงานอัยการ แย้งได้เฉพาะประเด็นข้อกฎหมาย กฎระเบียบ ว่าตามที่พนักงานอัยการกล่าวอ้างมาถูกต้องหรือไม่ โดยจะนำความในคำพิพากษาศาลฎีกา หรือ ความเห็นทางกฎหมายจากผู้เชี่ยวชาญประกอบเหตุผลการพิจารณา และพิจารณาจากข้อเท็จจริง พยานหลักฐานที่ปรากฎในสำนวนที่อัยการส่งมาเท่านั้น

และแย้งได้เฉพาะประเด็นที่สามารถกลับความเห็นของพนักงานอัยการได้ ไม่มีอำนาจทำการสอบสวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม หรือ หยิบยกพยานหลักฐานนอกสำนวนมาพิจารณาได้ เนื่องจากอำนาจการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ ในประเด็นข้อเท็จจริงที่นำมาพิจารณาต้องประกอบด้วยพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญอันสามารถหักล้างความเห็นไม่ฟ้องของพนักงานอัยการได้

ผู้ตรวจสำนวนพิจารณาในกองคดีอาญาทุกระดับ มีผู้พิจารณาก่อนเสนอ พล.ต.ท.เพิ่มพูน มี 4 ราย ซึ่งทุกคนมีอิสระในการเห็นแย้งหรือไม่แย้งคำสั่งของอัยการ โดยผู้ตรวจสำนวนทุกคนมีความเห็นไม่แย้งตรงกัน ส่วน พล.ต.ท.เพิ่มพูน ผู้มีอำนาจในการพิจารณาทำความเห็นไปตาม ป.วิอาญามาตรา 145/1 ไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ

ทั้งนี้ ในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง คระกรรมการยังพบข้อบกพร่องหลายแห่ง จึงจะประมวลเรื่องเสนอ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผบ.ตร. พิจารณาดำเนินการ ในประเด็น ดังนี้

1. นำเรียนข้อบกพร่องทั้งหมดที่พบของตำรวจ และจะตรวจสอบว่ากรณีใดบ้างที่ ป.ป.ช. ได้พิจารณาชี้มูลไปแล้ว กรณีบกพร่องที่ยังไม่ได้มีการชี้มูลหรือลงทัณฑ์ ทางคณะกรรมการจะพิจารณามีความเห็นเสนอ ผบ.ตร. เพื่อพิจารณาสั่งการดำเนินการทางวินัยต่อไป หากพบความผิดทางอาญาจะเสนอให้ดำเนินคดีอาญาต่อไป

2. คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบข้อเท็จจริงงเพิ่มเติม เช่น รายงานการคำนวณความเร็วจากผู้เชี่ยวชาญมายืนยันความเร็ว ที่ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และผู้เชี่ยวชาญอื่น ก็ยืนยันที่ความเร็ว 126 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญแก่คดีที่สามารถพิสูจน์การกระทำความผิดของผู้ต้องหา เพื่อให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาตามกฎหมายได้ เห็นควรส่งพยานหลักฐานรายละเอียดข้อเท็จจริงไปยังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาดำเนินการตาม ป.วิอาญามาตรา 147 ต่อไป

3. คณะกรรมการตรวจพบความบกพร่อง ในการดำเนินคดีเรื่องยาเสพติดให้โทษ ที่ยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยได้สอบถามเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สอบปากคำ “เภสัชกร” ผู้เชี่ยวชาญ แล้วพบว่า สารแปลกปลอม ทั้ง 2 ชนิด ที่เกิดในร่างกาย เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับโคเคน ร่วมกับการดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น การใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน ไม่ทำให้เกิดสารแปลกปลอมดังกล่าวได้ ซึ่งกรณีความผิดการเสพโคเคน มีอัตราโทษจำคุก 6 เดือน ถึง 3 ปี หรือปรับ 1 หมื่น ถึง 6 หมื่นบาท และยังมีอายุความอยู่ เห็นควรให้พนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจสอบสวนดำเนินคดีในเรื่องนี้ต่อไป อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ผบ.ตร. ได้สั่งการว่าจะเข้ามาดูแลการสั่งคดีเรื่องแย้งความเห็นของพนักงานอัยการด้วยเองทุกคดี

พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ยังกล่าวอีกว่า พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ได้มีการชี้แจงกับคณะกรรมการชุดนี้แล้ว โดยทางคณะกรรมการมีการพิจารณาและเชื่อคำให้การของ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ เพราะเห็นว่า เป็นพยานหลักฐานที่มีความสำคัญต่อคดี โดยทาง ผบ.ตร. จะส่งพยานหลักฐานให้อัยการไปดำเนินคดีใหม่ตาม ป.วิอาญา มาตรา 147 ทำให้มีการรื้อคดีนี้ขึ้นมาทำใหม่ 2 ข้อกล่าวหาในส่วนของคดีขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง และข้อหาเสพยาเสพติดประเภท 2 (โคเคน) มีอัตราโทษจำคุก ตั้งแต่ 6 เดือนถึง 3 ปี ส่วนเรื่องการขอถอนหมายแดงของตำรวจสากลนั้น หากมีการรื้อคดีใหม่ก็สามารถที่จะเสนอขอหมายแดงใหม่ได้ 

บอส อยู่วิทยา
ทั้งนี้ ตนเข้าใจถึงความห่วงใยของพี่น้องประชาชน และมีความสนใจในเรื่องการทำคดีครั้งนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่าจะไม่ปกป้องผู้กระทำผิด ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ส่วนการกระทำความผิดของตำรวจหากพบจะมีการลงทันฑ์อย่างเด็ดขาด โดยขณะนี้จากการตรวจสอบพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีส่วนกับการกระทำความผิดตำแหน่งสูงสุดในขณะนั้นคือ ระดับรองผู้บัญชาการ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นใคร เพราะตนเอง ไม่ใช่คณะกรรมการทางด้านวินัย แต่หนึ่งในนั้นมีชื่อของ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ที่จะต้องถูกสอบวินัย และดำเนินคดีตามประมาลกฎหมายอาญามาตรา 157 กับตำรวจทั้ง 14 นาย เป็นพนักงานสอบสวนชุดเก่า 11 นาย และชุดใหม่ 3 นาย ที่เกี่ยวข้อง

ส่วนกระแสข่าวที่ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ มีคำสั่งจากตำรวจชั้นผู้ใหญ่ให้กลับคำให้การเรื่องความเร็วรถนั้น จากการตรวจสอบพบว่า ไม่มีใครกดดัน พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ให้กลับคำให้การ ก่อนหน้านี้ในการเรียกมาสอบ ตนเองก็ปล่อยให้เจ้าตัวอธิบายอย่างเต็มที่ ไม่มีความกดดันแต่อย่างใด

ซึ่งก่อนหน้านี้ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ เคยจะไปให้การในเรื่องวิธีคำนวนความเร็วมาแล้ว แต่พนักงานสอบสวนบอกว่า คดีหมดอายุความแล้ว วันนี้ตนเองตั้งใจมาพูดในเรื่องของข้อเท็จจริงที่จับต้องได้ จะไม่มีการคาดเดา ซึ่งหากจะบอกว่าใครผิดหรือไม่ผิดก็จะต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป

พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวเพิ่มว่า วันนี้จะมีการเรียกสอบผู้เชี่ยวชาญของกองพิสูจน์หลักฐานที่เป็นคนกลางในเรื่องของความเร็วรถเกี่ยวกับวิธีการคำนวนซึ่งพบว่า พนักงานสอบสวนเชื่อว่า ความเร็วที่ถูกต้องของรถคือ 177 หรือกว่า 80 ซึ่งตรงกับวิธีการตรวจสอบในครั้งแรก ยืนยันว่าไม่มีการฟอกขาวให้ใคร และจะตรวจสอบเฉพาะทางตำรวจ ไม่ขอก้าวล่วงไปถึงทางอัยการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับข้อบกพร่องของผู้เกี่ยวข้องกับการสอบสวนที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบเพิ่มเติม คือ

1. ไม่ดำเนินการตรวจสอบปัสสาวะ เพื่อตรวจสารเสพติดเมื่อได้ตัวผู้ต้องหา 

2. ไม่เก็บหลักฐานคำให้การสอบสวนพยานเพิ่มเติมไว้ตามระเบียบ 

3. ผู้ออกรายงานให้การไม่ตรงกับรายงาน 

4. พนักงานสอบสวนไม่ออกหมายจับตามคำสั่งพนักงานอัยการ 

ส่วนข้อบกพร่องของผู้เกี่ยวข้องที่ถูกแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี วันที่ 25 เมษายน 2559 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งสำนวนการสอบสวนไปยังสำนักงานปปช.ดำเนินการตามกฎหมาย วันที่ 17 ธันวาคม 2562 ปปช.มีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาโทษทางวินัย วันที่ 31 มีนาคม 2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งลงโทษทางวินัย

สำหรับข้อบกพร่องของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนคดีจราจรที่ 632/2555 ของสน.ทองหล่อ ตามคำสั่งตร.ที่ 228/2559 ลง 22 เมษายน 2559

  1. ไม่ได้ทำการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ทำการตรวจค้นบ้านผู้ต้องหาในวันเกิดเหตุประกอบสำนวนการสอบสวน
  2. ไม่ได้ทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์และไม่ได้รวบรวมพยานหลักฐานในทันทีเป็นเหตุให้ขาดพยานหลักฐานในการฟ้อง
  3. ไม่ได้สอบสวนปากคำผู้นำตัวผู้ต้องหามามอบตัวประกอบสำนวน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงว่าผู้ต้องหาไปที่ไหนอย่างไร เพื่อสอบสวนขยายผลและอาจจะใช้เป็นพยานหลักฐานยืนยันในเรื่องความเมา และข้อเท็จแห่งคดี
  4. การทำสัญญาประกันปล่อยตัวชั่วคราวบกพร่อง ผู้ต้องหาได้เข้ามอบตัวเอง จึงไม่ใช่ผู้ถูกจับกุมและไม่มีหมายจับ ตามป.วิ.อาญา มาตรา 134 วรรคท้าย พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจให้ประกันตัว ซึ่งจะต้องส่งตัวผู้ต้องหาไปที่ศาล เพื่อขอหมายขังทันที
  5. การใช้ดุลพินิจของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ที่มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
  6. ผลการตรวจวิเคราะห์สารเสพติดที่เป็นสารเกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกายจากการเสพโคเคน (ยาเสพติดประเภท 2) และคำให้การของแพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์ยืนยันว่าพบสารที่เกิดจากการเสพโคเคนในร่างกายผู้ต้องหาไม่นำเข้าพิจารณาในการทำความเห็นในข้อหาขับรถโดยประมาทฯ และไม่มีการพิจารณาในเรื่องข้อหาเสพยาเสพติด
  7. พนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง บก.น. 5 ที่ 183/55 ลง 4 กันยายน 2555 ไม่กำกับดูแลให้มีการปล่อยตัวชั่วคราว ไม่เป็นไปตามป.วิ.อาญามาตรา 134 วรรคท้าย
  8. คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง บก.น. 5 ที่ 183/55 ลง 4 กันยายน 2555 ไม่ขอขยายเวลาการสอบสวนตามคำสั่งตร. ที่ 960/37 เมื่อได้ทำการสอบสวนครบกำหนดระยะเวลา
  9. คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง บก.น. 5 ที่ 183/55 ลง 4 กันยายน 2555 มีหลักฐานการรับสำนวนของพนักงานอัยการ แต่ไม่รายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น และไม่ส่งตัวผู้ต้องหาไปขอให้ศาลออกหมายขังเมื่อการสอบสวนครบกำหนดเวลา 6 เดือนตามป.วิ.อาญามาตรา 113 วรรคสอง
  10. ผกก.สน.ทองหล่อ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน ไม่ได้กำกับดูแลการสอบสวนโดยใกล้ชิดทั้งที่เป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo