ยอดผู้ติดเชื้อวันนี้ 10 ส.ค. อยู่ที่ 19,981,875 คน จ่อทะลุ 20 ล้านคน “หมอธีระ” เตือน “รัฐบาล-ศบค.-สมช.” โปรดทบทวนเกณฑ์ของระยะที่ 5 – 6
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat รายงาน ยอดผู้ติดเชื้อวันนี้ 10 ส.ค. โดยระบุว่า สถานการณ์ทั่วโลก 10 สิงหาคม 2563 ติดเชื้อเพิ่มอีก 208,627 คน ตายเพิ่ม 4,449 คน ยอดรวมตอนนี้ 19,981,875 คน ช่วงสายๆ ของวันนี้จะทะลุ 20,000,000 คน
- อเมริกา ติดเพิ่ม 46,266 คน รวม 5,192,022 คน ยอดผู้เสียชีวิตตอนนี้ 165,541 คน
- บราซิล ติดเพิ่ม 23,010 คน รวม 3,035,422 คน เมื่อวานยอดเสียชีวิตทะลุ 100,000 คนไปแล้ว ทำให้บราซิลเป็นประเทศที่สองที่มีจำนวนคนตายเกินแสน รองจากอเมริกา
- อินเดีย ติดเพิ่ม 62,117 คน รวม 2,214,137 คน
- รัสเซีย ติดเพิ่ม 5,189 คน รวม 887,536 คน
- แอฟริกาใต้ เม็กซิโก เปรู ติดกันเพิ่มอีก 6-7 พันกว่าคน
- ในขณะที่สหราชอาณาจักร อิหร่าน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ติดกันหลักพันถึงหลายพัน เฉกเช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่สถานการณ์ดูระบาดหนักขึ้นเรื่อยๆ
- น่าเป็นห่วงญี่ปุ่น ที่เริ่มมีกระแสปลุกระดมให้ไม่ใส่หน้ากาก และให้เชื่อว่า “COVID-19 เป็นหวัดธรรมดา”…
หากทางการไม่สามารถคุมโรคได้โดยเร็ว อาจพบจำนวนผู้เสียชีวิตสูงขึ้นมากในเวลาอันใกล้นี้ เพราะเค้าเป็นสังคมสูงอายุ และในระยะยาว มีแนวโน้มว่าหากวัคซีนมีประสิทธิภาพที่ไม่สูงมากนัก ก็อาจทำให้กลายเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเป็นโรค หรือพื้นที่ดงโรคได้ ส่งผลต่อภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวที่อาจแก้ไขได้ยาก
- หลายประเทศในทวีปยุโรป ปากีสถาน แคนาดา สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ติดเพิ่มกันหลักร้อย
- ส่วนจีน ฮ่องกง มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ติดเพิ่มกันหลักสิบ
…พรุ่งนี้รายงานอย่างเป็นทางการจะมียอดติดเชื้อทั่วโลกเกิน 20 ล้านคน…
หากเราลองฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายคน ทุกคนมองไปในทิศทางเดียวกันว่า ไทยเรามีโอกาสสูงมากที่จะเกิดการระบาดซ้ำในไม่ช้านี้
ความเห็นดังกล่าวนั้นตั้งอยู่บนความจริงที่ว่า รัฐแง้มประตูประเทศให้มีการเดินทางของกลุ่มเป้าหมายต่างๆ จากต่างประเทศเข้ามาได้
หากเปิดอ้าซ่า ไม่มีประเทศใดเลยที่รอดจากการระบาดซ้ำ และระลอกสองนั้น รุนแรงกว่าระลอกแรก คุมยากกว่า และก่อให้เกิดความเสียหายที่หนักหนา รัฐ ศบค. และสมช. โปรดทบทวนเกณฑ์ของระยะที่ 5 – 6 เสียใหม่
หากท่านตามข่าว ท่านจะพบว่า มีการใช้เกณฑ์ที่ประกาศไป เพื่อนำเข้ากลุ่มชาวต่างชาติจำนวนมาก บางเรื่องดูจะมีความจำเป็น เช่น แรงงาน
บางเรื่อง ไม่ใช่ความจำเป็น ไม่มีก็ไม่ตาย ไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีพของประชาชนในประเทศ เช่น นักกีฬา นักวิ่งแข่งขัน นักฟุตบอล
บางเรื่อง อาจไม่ต้องนำเข้าและใช้คนไทยทำแทน หรือหากจะนำเข้าก็ควรมีรายละเอียดการคัดเลือกแหล่งที่มาให้ลดความเสี่ยงลงให้น้อยที่สุด เช่น ครูสอนภาษา เป็นต้น
โปรดคำนึงไว้เสมอว่า ทั่วโลกระบาดรุนแรง หลายต่อหลายประเทศมีอัตราการตรวจพบว่าติดเชื้อสูงกว่าไทยหลายสิบเท่า
การนำเข้าแต่ละคน แต่ละครั้ง ล้วนมีความเสี่ยงที่จะเกิดการหลุดรอดของผู้ติดเชื้อเข้ามาสู่ชุมชน และแพร่ระบาดได้ จึงต้องขันน็อต ระแวดระวังให้ดี
ประชาชนไทยก็ควรตระหนักถึงความเสี่ยงดังกล่าว และรักตัวเองรักครอบครัว ป้องกันตนเองเสมอ
ใส่หน้ากาก… ล้างมือ… อยู่ห่างๆ คนอื่นหนึ่งเมตร พูดน้อยลง… พบปะคนน้อยลงสั้นลง เลี่ยงที่แออัดที่ชุมนุมที่อโคจร
คอยสังเกตอาการตนเองและครอบครัว…หากไม่สบาย ให้หยุดเรียนหยุดงานและรีบไปตรวจรักษา
“รศ.นพ.ธีระ” ระบุอีกว่า รัฐ ศบค. สมช. หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปตามภาวะปัจจุบัน คาดว่ามีความเสี่ยงสูงมากที่จะมีการระบาดภายในประเทศภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
สิ่งที่ควรทำคือ
หนึ่ง ทบทวนเกณฑ์การผ่อนคลายอนุญาตให้กลุ่มเป้าหมายต่างๆ ที่ประกาศไปในระยะที่ 5-6 เสียใหม่ โดยประเมิน”ความจำเป็น”ที่จะต้องนำเข้าคนต่างชาติเข้าสู่ประเทศไทย กับประโยชน์ที่จะได้รับและความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และควรหาทางส่งเสริมให้ใช้แรงงานในประเทศแทน ทั้งนี้ความจำเป็นที่กล่าวอ้างโดยหน่วยงานต่างๆ ที่ขออนุญาตนำเข้านั้น ต้องเป็น “ความจำเป็นอย่างยิ่งยวด” มิใช่ “จำเป็นแบบส่วนตัว”
สอง ท่ามกลางสถานการณ์ระบาดทั่วโลกจะแตะ 20 ล้านคนเช่นนี้ ควรยุตินโยบายฟองสบู่ท่องเที่ยวโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด โดยควรทิ้งระยะไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน ตามธรรมชาติของโรคระบาดในอดีตที่น่าจะค่อยลงบรรเทาลงใน 6-18 เดือน แล้วค่อยประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
สาม ส่งเสริมหน่วยงานระดับนโยบายทุกหน่วยงาน ให้สร้างนโยบายพัฒนาประเทศโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ลดการพึ่งพาต่างชาติ ยืนบนขาตนเอง
สี่ ควรวางแผนพัฒนาระบบการตรวจคัดกรองโรค COVID-19 ให้มีความครอบคลุมทุกพื้นที่ และมีจุดบริการในทุกชุมชน เพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์การระบาดซ้ำในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการตรวจได้โดยเร็ว ไม่ใช่จัดที่โรงพยาบาลเท่านั้น
ห้า ลด ละ เลิก แคมเปญสื่อสารสาธารณะที่จะทำให้ประชาชนประมาทการ์ดตก เช่น ความมั่นใจว่าจะเอาอยู่ การไม่มีเคสในประเทศ ฯลฯ แต่ควรมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักถึงปัญหาการระบาดซ้ำที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ความรู้เกี่ยวกับระบบการตรวจคัดกรองใกล้บ้าน ความสำคัญของการป้องกันตัวและครอบครัว การสร้างจิตสำนึกของทุกคนในสังคมและรณรงค์ให้งดการให้บริการแก่คนที่ไม่ป้องกันตัว รวมถึงความสำคัญอย่างยิ่งยวดในระยะถัดจากนี้ไปที่ทุกคนจะต้องประเมินอาการตนเองและครอบครัว หากไม่สบายให้รีบไปตรวจรักษา
สำหรับประชาชน : ยาและวัคซีนต้องใช้เวลาในการศึกษาอีกนานพอสมควร และหากจะได้ผล อาจได้ผลไม่สูงนัก การจะได้ยาหรือวัคซีนมาใช้แบบเดี่ยวๆ เพื่อหวังผลในการจัดการควบคุมโรค COVID-19 นั้นคงจะเป็นไปได้ยาก แต่จำเป็นต้องนำยาหรือวัคซีนนั้นมาใช้ควบคู่ไปกับมาตรการทางด้านการป้องกันตัวระดับบุคคล คือใส่หน้ากาก ล้างมือ อยู่ห่างๆ เลี่ยงที่แออัด และตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อหาการติดเชื้อและรีบนำเข้าสู่กระบวนการรักษา เพื่อให้หายดีและตัดวงจรการระบาดในชุมชน
สิ่งที่พวกเราทุกคนจะทำได้คือ รักตัวเองและครอบครัว ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ป้องกันตนเองเสมอ ใส่หน้ากาก ล้างมือ อยู่ห่างคนอื่นหนึ่งเมตร พูดน้อยลง พบปะคนน้อยลงสั้นลง เลี่ยงที่แออัดที่ชุมนุมที่อโคจร และสังเกตอาการตนเอง หากไม่สบายให้รีบไปตรวจครับ…
ประเทศไทยต้องทำได้
ด้วยรักต่อทุกคน
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ไทยเจอติดเชื้อโควิดเพิ่ม 3 คน รวม ‘ชาวบังคลาเทศ-อินเดีย’ ดันยอดสะสมถึง 3,351 คน
- รอรับได้เลย!! เตรียมจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ-คนพิการ วันนี้
- พยากรณ์อากาศวันนี้ 10 ส.ค. เตือน 39 จังหวัดระวังฝนถล่ม!!