“ธนกร” ชี้อย่าง “ธนาธร” อ้าปากก็เห็นเครื่องใน แนะไปทำความเข้าใจแกนนำม็อบ “เยาวชนปลดแอก” ให้ใช้กลไกสภาแก้ปัญหา ก่อนเหตุการณ์ลุกลามเป็นวิกฤติการเมือง
นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มเข้มข้นขึ้น มีการเคลื่อนไหวชุมนุมของนักศึกษา มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในลักษณะ 2 ขาของคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล ซึ่งตนมองว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งในประเทศอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ อยากให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงประเทศชาติและประชาชนบ้าง บ้านเมืองมาไกลแล้ว ไม่อยากให้หวนไปสู่ความขัดแย้งอีก และอยากให้เข้าใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วย เพราะวันนี้ประเทศกำลังประสบปัญหาโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในทุกด้าน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ จนสามารถควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้
ส่วนผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กำลังดำเนินการฟื้นฟูเยียวยาอยู่ เวลานี้ประเทศจึงต้องการความสามัคคี ไม่ใช่เวลาที่จะต้องขัดแย้งกัน
นายธนกร กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่นาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ยืนยันว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของ กลุ่มเยาวชนปลดแอก นั้น ถึงนายธนาธรจะพยายามอ้างแบบนั้น แต่เหมือนอ้าปากก็เห็นไปถึงเครื่องใน เพราะปรากฎภาพคนของคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกลไปร่วมในเหตุการณ์ด้วย
ส่วนการที่นายธนาธรระบุว่า การเมืองครั้งนี้จะรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมามาก แต่ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ที่จะยับยั้งวิกฤตนี้ได้ อย่ารอให้บาดเจ็บล้มตายก่อนแล้วค่อยหันหน้าพูดคุยกันนั้น เรื่องนี้ตนเห็นด้วยอย่างยิ่ง นายธนาธรต้องกลับไปทำความเข้าใจกับคนของคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล หรือไปช่วยทำความเข้าใจกับแกนนำม็อบให้หันหน้าพูดคุยกันผ่านกลไกสภาฯ ซึ่งเป็นหนทางที่ดีที่สุด ขอให้เห็นแก่บ้านเมือง
ทั้งนี้ ตนเชื่อว่ารัฐบาลพร้อมรับฟังทุกฝ่ายเพื่อหาทางออกร่วมกัน และเชื่อว่าพี่น้องคนไทยก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เหมือนที่ผ่านมาอีก
อย่างไรก็ตาม อยากฝากไปยังน้องๆ เยาวชนด้วยว่า ขอให้มีสติ ตนเชื่อในพลังบริสุทธิ์ของน้องๆ เมื่อเป็นพลังบริสุทธิ์ก็ควรจะทำความเข้าใจกันผ่านช่องทางต่างๆ ที่ไม่ใช่การชุมนุมบนท้องถนน หาทางออกร่วมกันอย่างสันติ ตนเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมรับฟังเสียงประชาชนและจะหาทางออกร่วมกันเพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้
“ธนาธร” ปัดจ้างแกนนำ “เยาวชนปลดแอก”
วานนี้ (20 ก.ค. 63) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธาน คณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้กล่าวถึงการชุมนุมประท้วงของ กลุ่มเยาวชนปลดแอก หลังมีผู้กล่าวหาว่า นายธนาธรเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมครั้งนี้
โดยนายธนาธรปฏิเสธว่า ไม่ได้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมครั้งนี้ และไม่เคยให้เงินเป็นค่าจ้างกับกลุ่มแกนนำ และเชื่อว่าการออกมาชุมนุมของกลุ่มคนเหล่านั้น ก็ไม่ได้รับอามิสสินจ้างจากใครด้วย แต่เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อต้องการให้ประเทศเดินไปข้างหน้า
ด้านกรณีที่ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ให้ท้าสาบานว่า ไม่ได้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาจริงๆ นายธนาธร กล่าวว่า “ไม่ขอต่อล้อต่อเถียงด้วย”
ในส่วนกรณีที่ตำรวจเตรียมดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินและการละเมิดสถาบันนั้น นายธนาธรเรียกร้องให้ประชาชนร่วมกันปกป้องกลุ่มผู้ชุมุนุมที่ออกเรียกร้องประชาธิปไตยในวันนี้ เพราะสิ่งที่เขาทำนั้น ทำเพื่ออนาคตของประเทศ หากไม่ปกป้องก็จะไม่มีใครออกมาต่อสู้แทนประชาชนได้ เพราะถือเป็นกลุ่มบุคคลที่มีความกล้าหาญ
“การที่ออกมาข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีเป็นกลยุทธ์ของฝ่ายรัฐบาล เพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุมกลัว ไม่กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน และการที่คนของคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกลออกไปร่วมชุมนุมด้วยไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคนของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ต่างก็เรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเมื่อมีการออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้พวกเราก็พร้อมที่จะร่วมสนับสนุน” นาย ธนาธร กล่าว
สำหรับการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษา เยาวชนปลดแอก ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้านั้น นายธนาธรเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะต้องหันหน้าเข้าหากัน เพราะถึงจุดที่จะใกล้เกิดวิกฤตการเมืองแล้ว
หากปล่อยให้วิกฤตการเมืองครั้งนี้เกิดขึ้น มันจะรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมามาก แต่ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ที่จะยับยั้งวิกฤตนี้ได้ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียของประชาชนขึ้นอีก อย่ารอให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นมาก่อน แล้วค่อยหันหน้าพูดคุยกัน พร้อมย้ำว่าข้อเสนอนี้ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางออกเดียวของสังคมไทย เพื่อหาข้อตกลงใหม่ ที่เป็นที่ยอมรับร่วมกัน
“ศรีสุวรรณ” จี้เอาผิด 112
วันนี้ (21 ก.ค. 63) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ก็ได้ออกมาเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมที่ถือป้ายจาบจ้วงเบื้องสูง ในการชุมนุมของ กลุ่มเยาวชนปลดแอก บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กรุงเทพฯ ช่วงเย็นวันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม 2563 รวมถึงการชุมนุมในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดอุบลราชธานี ที่มีข้อเรียกร้องเดียวกัน เมื่อเย็นวันที่ 19 กรกฎาคม 2563
โดยนายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การชุมนุมในสถานที่ต่างๆ ข้างต้นนั้น ปรากฎว่ามีผู้ที่แอบแฝงนำป้ายข้อความที่มีลักษณะจาบจ้วงเบื้องสูง ละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ เข้ามาถือโชว์เพื่อให้นักข่าวและสื่อมวลชนถ่ายภาพนำไปรายงานเผยแพร่ในเชียลมีเดียเป็นจำนวนมากด้วย
การกระทำดังกล่าวเชื่อว่าน่าจะกระทำกันอย่างเป็นกระบวนการ เพราะข้อความต่างๆ เหล่านั้นเหมือนหรือคล้ายกันทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปีอันถือว่าเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ทั้งนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับเรื่อยมามีข้อที่กล่าวว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้…”
“เมื่อมีผู้ชุมนุมบางคนที่มีเจตนาแฝงเข้ามาชุมนุมแล้วนำป้ายข้อความที่มีลักษณะจาบจ้วงเบื้องสูงทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาถือโชว์เพื่อให้นักข่าวและสื่อมวลชนถ่ายภาพนำไปรายงานเผยแพร่นั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องเร่งสืบสวนจับกุมผู้ที่จัดทำและหรือถือป้ายดังกล่าวมาดำเนินการสอบสวนและทำความเห็นทางคดี เพื่อส่งอัยการฟ้องต่อศาลเพื่อพิจารณาลงโทษมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป” นายศรีสุวรรณกล่าว
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ศรีสุวรรณ’ จี้เอาผิด 112 ผู้ชุมนุม ‘เยาวชนปลดแอก’ ชูป้ายจาบจ้วงสถาบัน
- ‘โจชัว หว่อง’ แกนนำเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง ทวิตหนุน ‘เยาวชนปลดแอก’
- ‘ไพศาล’ เตือน! เยาวชนประท้วงเป็นเรื่องการเมือง อย่าโยง ‘ล้มเจ้า’ ทำลายสถาบัน