“ศักดิ์ศยาม” เผยไทยพัฒนา “วัคซีนโควิด-19” คืบหน้า โดยเฟส 2 เตรียมลงนามความร่วมมือหาอาสาสมัครต่างชาติ เหตุในไทยมีผู้ป่วยไม่พอ เพราะอาจต้องใช้ถึง 5,000 คน
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ของประเทศไทยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมกระทรวงสาธาราณะสุขในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า สามารถแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 และพัฒนา วัคซีนโควิด-19 ได้ดี
โดยปัจจุบันการพัฒนาวัคซีนมีความก้าวหน้าไปมาก ขณะที่ได้ฉีดทดลองในลิงแล้วและเตรียมจะเริ่มทดลองในคนต่อไป
ทั้งนี้ การพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 เฟส 2 ของไทยนั้น อาจจะต้องใช้อาสาสมัครราว 5 พันคน ในการฉีดทดลอง วัคซีนโควิด-19 จึงจะเพียงพอในการใช้เป็นฐานข้อมูลที่ในการสรุปผลการทดสอบได้ และจะต้องคัดเลือกเฉพาะอาสาสมัครที่ติดเชื้อโควิดมาทดลองเท่านั้น
ประเด็นนี้เป็นปัญหาของไทย เพราะว่าปัจจุบันมีจำนวนคนที่ติดเชื้อน้อย หาคนติดเชื้อมาร่วมทดลองได้ยาก ทำให้นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุข จะต้องไปดำเนินการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับประเทศอื่นๆ ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 เพื่อขออาสาสมัครเข้าร่วมทดลองวัคซีนของไทย
คาดว่าจะไม่มีปัญหา เพราะหากไทยสามารถพัฒนาวัคซีนได้ ก็จะถือว่าเป็นประโยชน์กับทุกประเทศ และหากสามารถดำเนินการได้ตามแผน เชื่อว่าปีหน้าไทยจะมีข่าวดีแน่นอน
ความคืบหน้า วัคซีนโควิด-19 ของไทย
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดแถลงข่าวความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย
ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่า วัคซีน CU-Cov19 เป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่ผลิตจากสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่บางส่วน
เมื่อชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมนี้ ถูกฉีดเข้าไปในร่างกาย จะถูกเปลี่ยนเป็นโปรตีน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกัน ชนิดแอนติบอดี ที่ช่วยต่อสู้กับไวรัสได้ โดยจะได้รับการตรวจสอบว่ามีความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
จากผลการทดลองกับหนูที่ได้รับวัคซีนเข็มแรก พบว่า ระดับภูมิคุ้มกันขึ้นมาในระดับร้อย และฉีดเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน ระดับภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นถึง 40,000
จากนั้นได้ทำการทดลองควบคู่กับลิง 13 ตัว โดยฉีดในลิงเข็มแรกวันที่ 23 พฤษภาคม 2563 ฉีดเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน ในวันที่ 22 มิถุนายน 2563 ล่าสุดพบว่า ผลการตรวจเลือดลิงหลังจากได้รับการฉีดวัคซีน CU-Cov19 กระตุ้นเข็มที่ 2 พบว่าลิงที่ได้รับวัคซีนทุกตัวมีระดับภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้น สุขภาพแข็งแรง และไม่มีผลข้างเคียงจากการได้รับวัคซีน
สำหรับขั้นตอนต่อไปคือ การเตรียมผลิต วัคซีนโควิด-19 โดจะนำวัคซีน mRNA 2 ตัวที่ดีที่สุด ไปให้โรงงานต่างประเทศ 2 แห่งทำการผลิตวัคซีน นอกจากนี้ยังได้เตรียมโรงงานไทยคือ บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จํากัด ในการผลิตวัคซีน mRNA และตัวเคลือบวัคซีนด้วย จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต
ส่วนของการวิจัยในคน ในแผนระยะแรกเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2563 จะทดลองในคน 100+ คน และเพื่อความปลอดภัยจะต้องเริ่มที่โดสต่ำๆ จึงกำหนดเป็นกลุ่มอายุ 18-60 ปี
ในระยะที่ 2 ช่วงธันวาคม 2563 -มีนาคม 2564 ทดลองในคน 500-1,000 คน
ในส่วนของระยะที่ 3 อย. ไทย อาจเห็นควรให้ ไม่ต้องดำเนินการ เข้าสู่ระยะ Emergency Use Authorization (EUA) แต่ยังต้องทำการเก็บข้อมูลเหมือนระยะที่ 3 แต่ทั้งนี้หากเป็นไปได้ก็จะช่วยลดทรัพยากรและระยะเวลาด้วย
เร่งมือพัฒนา แข่งกับเวลา
อย่างไรก็ตาม ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความเห็นว่า การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 นั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน จึงมีการลัดขั้นตอนเพื่อทำงานแข่งกับเวลาการแพร่ระบาดของโรค
แต่ในภาวะปกติ การพัฒนายาใหม่หรือวัคซีนจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและใช้เวลามาก ตั้งแต่ 5-10 ปี โดยนักวิจัยอาจค้นพบวัคซีนหรือสารหรือยาบางชนิดที่มีประสิทธิภาพ แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบหาย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘โมเดอร์นา’ ประกาศความสำเร็จ ‘วัคซีนต้านโควิด’ เริ่มทดลองขั้นสุดท้ายในคน 27 ก.ค.นี้
- ‘วัคซีนโควิด-19’ ไม่ง่าย! ‘นพ.ยง’ เลคเชอร์การพัฒนายาใหม่ใช้เวลาเป็น 10 ปี
- สธ. วาง 3 แนวทางจัดหา วัคซีนป้องกันโควิด-19 สร้างความมั่นใจมีวัคซีนเพียงพอ