“กระทรวงการต่างประเทศ” สั่งสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลใหญ่ของไทย เร่งชี้แจงกรณี PETA นำเสนอรายงานประเทศไทยใช้ลิงเก็บมะพร้าว พร้อมให้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
นายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรณีองค์กรมนุษย์เพื่อการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างมีจริยธรรม หรือ พีตา (PETA) นำเสนอรายงาน เรื่องประเทศไทยใช้ “ลิงเก็บมะพร้าว” จนทำให้ห้างสรรพสินค้าบางแห่งในประเทศอังกฤษแบนกะทิไทย และผลิตภัณฑ์มะพร้าวจากไทยนั้น
กระทรวงการต่างประเทศ ได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลใหญ่ของไทย ให้ทำความเข้าใจกับต่างประเทศกรณีดังกล่าว โดยเฉพาะต่อผู้บริโภคและผู้นำเข้าสินค้าไทย รวมทั้ง ให้ติดตามสถานการณ์ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) อย่างใกล้ชิด
จากการที่กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานแนวทางการชี้แจงไปยังสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ไทยทุกแห่งทั่วโลก ในชั้นนี้ ได้มีการดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวแล้ว เช่น สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงสตอกโฮล์ม ได้ออก Press Release ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวกับสาธารณชนและสื่อท้องถิ่นที่รายงานข่าวเรื่องนี้ พร้อมชี้แจงประเด็นวิถีชีวิตและภูมิปัญญาพื้นบ้าน ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมมะพร้าวหรือผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวของไทย ทั้งนี้ การละเมิดหรือทารุณกรรมสัตว์เป็นปัญหากรณีบุคคล ซึ่งไทยมีกฎหมายบังคับใช้และลงโทษผู้ละเมิดเป็นรายกรณีอยู่แล้ว
ในส่วนสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน ได้ขอให้ทีมประเทศไทยร่วมกันชี้แจงทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเอกอัครราชทูตฯ ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือกับฝ่ายสหราชอาณาจักรในโอกาสต่างๆ และ สคต. ณ กรุงลอนดอนได้มีหนังสือแจ้งผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายใหญ่ของสหราชอาณาจักร ทุกรายด้วยแล้ว รวมทั้งจะได้เข้าพบกับผู้บริหารธุรกิจร้านค้าและบริษัทผู้นำเข้ารายใหญ่เพื่อชี้แจงเพิ่มเติมด้วย
นอกจากนี้ ในกรณีรายงานข่าวว่า ห้างสรรพสินค้าในเยอรมนีบางแห่ง จะร่วมแบนกะทิจากไทย โดยเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 นั้น สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน ได้ติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด ร่วมกับ สคต. และจะเดินหน้าชี้แจงภาคธุรกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเยอรมนีต่อไป
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เป็นเรื่อง! เยอรมันร่วมแบน ‘กะทิจากไทย’ ใช้ลิงเก็บมะพร้าว
- ชาวสวนโต้ PETA ‘ฝึกลิงเก็บมะพร้าว’ คือ ภูมิปัญญา ไม่ใช่ทารุณ
- ลิงเก็บมะพร้าว แก้เกม! ดันเอกชนติด ‘รหัสตรวจสอบย้อนกลับ’
