“หญิงหน่อย” เตือน! ไทยเสี่ยงเข้าสู่สภาวะการ “ล้มละลายทางการคลัง” ชี้หากไม่ปรับการใช้งบปี 64 ให้ตอบโจทย์การแก้ไข #สึนามิเศรษฐกิจ อย่างแท้จริง
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ก คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan แสดงความคิดเห็นเรื่องสภาวะทางการคลังของประเทศไทย ความว่า ประเทศไทยกำลังเสี่ยงเข้าสู่สภาวะการ “ล้มละลายทางการคลัง” หากไม่ปรับการใช้งบปี 64 ให้ตอบโจทย์การแก้ไข #สึนามิเศรษฐกิจ อย่างแท้จริง (ตอนที่ 1)
สิ่งที่ดิฉันกังวลสำหรับอนาคตประเทศ ที่สะท้อนผ่านการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2564 ที่ต้องขอเตือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า ไทยกำลังเข้าสู่สภาวะการล้มละลายทางการคลัง
ความกังวลประการแรก เป็นไปตามที่นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ตั้งข้อสังเกตในสภาไว้แล้ว นั่นคือ รายจ่ายประจำของไทยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากการรัฐประหารปี 57 โดย “รัฐราชการ” เติบโตขึ้นอย่างมาก ทำให้มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น จนทำให้รายได้ของประเทศที่มาจากภาษีอากรของพี่น้อง ประชาชนหมดไปกับรายจ่ายประจำประเภทเงินเดือนข้าราชการ และการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ จนไม่เหลือเงินที่จะนำมาลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ
หากพิจารณาจากโครงสร้างงบประมาณ 2564 จะพบว่าเรามีรายรับจากการจัดเก็บภาษีเพียง 2.67 ล้านล้านบาท แต่มีรายจ่ายประจำและรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้เงินต้น 2.625 ล้านล้านบาท เหลือเป็นส่วนต่างที่จะนำมาลงทุนเพียงไม่ถึง 50,000 ล้านล้านบาท
แต่หากการจัดเก็บภาษีไม่ได้ตามประมาณการเราจะไม่เหลือเงินที่จะนำมาลงทุนเลย ส่วนรายจ่ายประจำต้องจ่ายไปตามปกติไม่สามารถลดลงได้ เพียงแค่รายการเดียวพี่น้องคงเห็นอนาคตว่าเรากำลังเดินทางไปสู่ความหายนะทางการคลัง
ด้านรายได้ที่มาจากการจัดเก็บภาษีประมาณ 15% ของจีดีพีซึ่งนับว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่หากพิจารณาถึงรายได้ประชาชาติหรือจีดีพีของไทย ณ สิ้นปี 2562 เป็นเงิน 16.875 ล้านล้านบาท โดยเป็นรายได้ที่มาจากการส่งออกประมาณ 70% แต่มีรายได้จากการส่งออกจำนวนหนึ่งที่เราไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้เพราะเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) หรือ เอฟดีไอ ซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (Board of Investment)
เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออก 10 อันดับแรก ของปี 2562 ได้แก่
- รถยนต์และส่วนประกอบ 846,435 ล้านบาท
- คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ 564,626 ล้านบาท
- อัญมณีและเครื่องประดับ 486,216 ล้านบาท
- ผลิตภัณฑ์ยาง 347,649 ล้านบาท
- เม็ดพลาสติค 284,263 ล้านบาท
- เคมีภัณฑ์ 235,246 ล้านบาท
- แผงวงจรไฟฟ้า 234,892 ล้านบาท
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 227,071 ล้านบาท
- น้ำมันสำเร็จรูป 226,962 ล้านบาท
- เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 170,578 ล้านบาท รวม 3,605,938 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21.3% ของจีดีพี
ปรากฏว่า เป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศเพียงรายการเดียวคือผลิตภัณฑ์ยาง ที่เหลืออีก 9 อันดับเป็นสินค้าของต่างประเทศที่ไทยได้เพียงค่าแรงแต่เก็บภาษีไม่ได้ ดังนั้น รายได้ประชาชาติหรือจีดีพีที่เป็นฐานการก่อหนี้สาธารณะซึ่งขณะนี้อยู่ที่ไม่เกิน 60% จึงถือว่าสูงมากแล้ว เพราะจีดีพีที่เก็บภาษีได้มีไม่ถึง 16.875 ล้านล้านบาท
สิ่งที่น่ากังวลมากไปกว่านั้น คือ อุตสาหกรรมที่เคยเป็นแชมป์การส่งออกที่ทำให้จีดีพีของเราสูงมาตลอดนั้น กำลังจะกลายเป็นอุตสาหกรรมขาลงหรือกำลังจะหมดอนาคต (sunset industry) เพราะบางอุตสาหกรรมกำลังจะย้ายฐานการผลิตและบางอุตสาหกรรมกำลังถูกอุตสาหกรรมใหม่แทนที่ (disruptive industry) อันจะทำให้จีดีพีของเราหดตัวลงแต่รัฐบาลยังไม่ได้ตระหนักถึงภยันตรายดังกล่าว
ดูได้จากการที่รัฐบาล ยังจัดสรรงบประมาณด้านการลงทุนไปกับ การสร้างอาคารของกระทรวงต่างๆ การตัดถนนอีกมากมาย รวมทั้งการซื้ออาวุธ การอบรมสัมมนาต่างๆ ที่ไม่ใช่การลงทุนที่จะทำให้เกิดรายได้ใหม่ หรือ การจ้างงานใหม่ ให้ประชาชน เพื่อแก้ไขสภาวะ #สึนามิเศรษฐกิจ ในขณะนี้ได้เลย
รัฐบาลยังมองไม่ออกว่า เศรษฐกิจหลังโควิด จะเป็นแบบไหน ในอันที่จะเตรียมฐานการผลิต และวางโครงสร้างพื้นฐานไว้รองรับอุตสาหกรรม ที่จะเกิดใหม่หลังโควิดดังกล่าว ซึ่งเป็นที่น่าห่วงว่าการจัดงบปี 64 รัฐบาลยังไม่ตระหนัก และไม่มีการจัดงบประมาณ เพื่อสนับสนุนเพื่อให้เกิดฐานรายได้ใหม่ จากความแข็งแกร่งเดิมของเรา ไม่ว่าจะเป็นเกษตร, ท่องเที่ยว, และสาธารณสุข
นายกรัฐมนตรี ยังสนุกกับการกู้เงินและควบคุมประเทศเพื่อรักษาอำนาจของตัวเองต่อไป โดยไม่ได้ตระหนักว่าประเทศกำลังเดินหน้าไปสู่ความหายนะหรือการล้มละลายทางการคลัง
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘หญิงหน่อย’ ถาม ‘บิ๊กตู่’ หยุดซื้ออาวุธสักปีได้ไหม เร่งแก้เศรษฐกิจก่อน!
- ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาอีกแล้ว! ‘หญิงหน่อย’ โวยเพื่ออะไรกันแน่!
- ‘หญิงหน่อย’ เปิด 5 ข้อเสนอจี้รัฐบาลเร่งเปิดเมืองอย่างปลอดภัย!!