COVID-19

WHO กลับลำอีกรอบ ออกมายอมรับ โควิด-19 ติดต่อทางอากาศได้

โควิด-19 ติตต่อทางอากาศได้ “หมอมนูญ” อัดซ้ำ คนเริ่มขาดความมั่นใจ คำแนะนำล่าช้า กลับไปกลับมา ตั้งแต่กรณีสวมหน้ากากอนามัย จนโดนทักท้วง

นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียูเฉพาะทาง ด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้โพสต์ข้อความผ่าน เพจเฟซบุ๊ก “หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC” ถึงการทำงานขององค์กรอนามัยโลก หรือ WHO ที่ออกมากลับลำ ยอมรับว่า โควิด-19 ติตต่อทางอากาศได้ โดยระบุว่า

โควิด-19 ติดต่อทางอากาศ

“องค์การอนามัยโลกกลับลำอีกแล้ว ยอมรับโรคไวรัสโควิด-19 ติดต่อกันทางอากาศ

ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ไปทั่วโลก คนเริ่มขาดความมั่นใจ ในคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่ล่าช้า และ กลับไปกลับมา จากเดิมที่เคยบอกว่า ไม่มีหลักฐานยืนยันมากพอว่า หน้ากากอนามัย ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มาเป็นทุกคนควรใส่หน้ากากอนามัย หรือ หน้ากากผ้า เวลาออกไปในที่สาธารณะ

รวมทั้งที่บอกว่า จากเดิมคนที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ถ้าไม่มีอาการ โอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่นน้อยมาก เปลี่ยนมาเป็น คนไม่มีอาการก็แพร่เชื้อได้

เนื่องจากองค์การอนามัยโลก ยังยืนยันต่อเนื่องว่า โรคไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายได้แค่ 2 วิธี คือ โดยหายใจรับเชื้อ ในละอองขนาดใหญ่ (droplet) ที่คนป่วยขับออกมาเวลา พูด ไอ จาม ในระยะใกล้ชิด 1 เมตรเข้าร่างกายโดยตรง และผ่านละอองใหญ่ ที่มีเชื้อไวรัสตกลงบนพื้นผิว เวลาผู้ป่วยพูด ไอ จาม คนอื่นไปสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส แล้วเอามือไปจับตา จับจมูก

องค์การอนามัยโลก ให้ความสําคัญกับการติดเชื้อทางมือจากพื้นผิว มากกว่าการหายใจเอาละอองน้ำลายเข้าโดยตรง เน้นให้ทำความสะอาดพื้นผิว ที่มีการสัมผัสบ่อย ๆ และล้างมือบ่อย ๆ

ขฌะที่ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติ ของสหรัฐฯ (CDC) ได้ลดความสำคัญ ของการติดต่อทางสัมผัส ว่าสำคัญน้อยกว่า การติดต่อทางการขับละอองเสมหะออกมาโดยตรง เวลาพูด ตะโกน ร้องเพลง ไอ จาม

หมอมนูญ
นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์

สำหรับละอองฝอยขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน (droplet nuclei หรือ aerosol) แพร่ทางอากาศ (airborne) ลอยไปได้ไกลกว่า 8 เมตร ตามทิศทางของลม องค์การอนามัยโลก เชื่อว่าเกิดน้อยมาก เกิดในกรณืพิเศษ ในโรงพยาบาลเท่านั้น เมื่อบุคลากรทางการแพทย์ ทำหัตถการกระตุ้นให้ผู้ป่วยไอ เช่น เวลาดูดเสมหะ หรือใส่ท่อหายใจ

ล่าสุด หลังจากที่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ 239 คนจาก 32 ประเทศได้รวมกลุ่มกัน ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง องค์การอนามัยโลก (WHO) เรียกร้องให้ WHO ยอมรับว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถติดต่อทางอากาศ (Airborne) และไม่จำเป็นต้องเกิดในโรงพยาบาลเท่านั้น เนื่องจากมีข้อมูลเพียงพอ ที่ยืนยันเชื้อติดต่อทางอากาศละอองฝอยขนาดเล็ก สามารถแขวนลอยในอากาศ มีชีวิตได้หลายชั่วโมง และพร้อมที่จะเข้าปอด เมื่อสูดหายใจเข้าไป

นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ ขอให้องค์การอนามัยโลก ปรับคำแนะนำ นอกจากการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง ควรให้ความสำคัญของการหมุนเวียนของอากาศ การถ่ายเทระบายอากาศ ใช้ตัวกรองอากาศ ที่มีประสิทธิภาพสูง และใช้โคมไฟรังสีอัลตราไวโอเลต (UVC) ฆ่าเชื้อโรคลอยในอากาศ ในสถานที่อากาศปิด ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ มาตรการเหล่านี้ควรถูกนำมาใช้เพิ่มเติม จากมาตรการป้องกันอื่นๆ ก่อนหน้านี้ เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19

ในที่สุดองค์การอนามัยโลกกลับลำอีกครั้ง ยอมรับว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายทางอากาศได้

ผมเคยออกความเห็น เมื่อมีการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ในสนามมวยลุมพินี ซึ่งเป็นสถานที่ปิด ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ จากเซียนมวยหนึ่งคน ที่ติดเชื้อจากคนในครอบครัว กลับจากประเทศอิตาลี

เซียนมวยคนนี้ เป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ สามารถแพร่กระจายเชื้อให้คนในสนามมวยวันนั้น กว่า 50 คน การแพร่เชื้อเช่นนี้ เป็นไปได้วิธีเดียว คือ ติดต่อทางอากาศ ละอองฝอยขนาดเล็ก ล่องลอยออกมาในอากาศ เวลาเซียนมวยตะโกนเชียร์ ลอยไปได้ไกลมากกว่า 10 เมตร แล้วแต่ทิศทางของลม จากเครื่องปรับอากาศพาไป

ใครโชคร้ายอยู่ในทิศทางของลม หายใจเอาละอองฝอยขนาดเล็กเข้าไป ทำให้ปอดติดเชื้อ การแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 ทางอากาศจริง ๆ แล้ว สำคัญยิ่งกว่า การแพร่กระจายเชื้อ ทางพื้นผิวผ่านมือ ตอนนั้นคนไทยด้วยกัน ยังไม่ยอมรับ เพราะเชื่อองค์การอนามัยโลก

ต่อไปนี้คนไทยควรฟังหูไว้หู ทุกเรื่องที่องค์การอนามัยโลก ออกคำแนะนำ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องไวรัสโควิด-19 อย่างเดียว”

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo