Business

หลายคนสงสัย!! จบมาตรการเลื่อนชำระหนี้แล้วต้องทำยังไง

หลายคนสงสัย? จบมาตรการเลื่อนชำระหนี้ “ลูกหนี้” ต้องจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างอยู่ทันทีในงวดเดียวเลยหรือไม่ “ธปท.” มีคำตอบที่นี่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊ก “ธนาคารแห่งประเทศไทย – Bank of Thailand” ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้โพสต์ชี้แจงข้อสงสัย โดยระบุว่า หลายคนมีคำถามว่าเราจะต้องจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมดทันทีหลังจบมาตรการเลื่อนการชำระหนี้เลยหรือเปล่า

โดย ธปท. ยืนยันว่า ธนาคารไม่มีสิทธิบังคับลูกหนี้ให้จ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างอยู่ในงวดเดียว โดยลูกหนี้สามารถเจรจากับธนาคารได้ ว่าจะเลือกชำระเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างอยู่ ได้ 3 แนวทาง ได้แก่

แบงก์ชาติ77631

1. เฉลี่ยจ่ายตามงวดหนี้ที่เหลือ

2. จ่ายคืนทั้งหมดในงวดสุดท้าย

3. ขยายเวลาการชำระหนี้ ตามที่ตกลงกันระหว่างลูกหนี้และธนาคาร

ทั้งนี้ ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยได้เฉพาะจากเงินต้นที่เหลืออยู่ ไม่สามารถคิดดอกเบี้ยบนดอกเบี้ยได้

อย่างไรก็ตาม นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่ ธปท. ได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบ ต่อความสามารถ ในการชำระหนี้ของประชาชน การออกมาตรการช่วยเหลือขั้นต่ำ ในระยะแรก จึงมุ่งช่วยเหลือประชาชนในวงกว้างเป็นการทั่วไป ซึ่งมาตรการช่วยเหลือส่วนหนึ่ง ได้ครบกำหนดเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ธปท. ได้ทำงานร่วมกับ ผู้ให้บริการทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า มีลูกหนี้รายย่อยได้รับความช่วยเหลือจำนวน 11.5 ล้านบัญชี จากบัญชีสินเชื่อรายย่อยทั้งหมดประมาณ 35 ล้านบัญชี ส่วนใหญ่เป็นบัญชีบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล คิดเป็นมูลหนี้รวม 3.8 ล้านล้านบาท

ซึ่งพบว่าลูกหนี้ส่วนใหญ่ได้รับความช่วยเหลือในลักษณะจ่ายเงินค่างวดที่ลดลง และบางส่วนได้รับการเลื่อนการชำระหนี้ หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ นอกจากนี้ ผู้ให้บริการทางการเงินจำนวนมากยังให้ความช่วยเหลือมากกว่ามาตรการขั้นต่ำที่ ธปท. กำหนด ตามกลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ

106237741 1178251329190959 7245932901321259772 o

แม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้น มาเป็นลำดับ โดยความร่วมมือของประชาชนทุกภาคส่วน ทำให้ไม่มีการติดเชื้อในประเทศ มาเป็นเวลานาน และทางการเริ่มผ่อนคลายมาตรการ เว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ เริ่มกลับมาดำเนินได้อีกครั้ง อย่างไรก็ดี ธปท. และผู้ให้บริการทางการเงิน ยังตระหนักว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ยังมีความไม่แน่นอนสูง และยังคงมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางส่วน ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง และอาจยืดเยื้อ

ทำให้ลูกหนี้บางกลุ่มยังต้องการความช่วยเหลือต่อเนื่อง ธปท. จึงได้ออก มาตรการช่วยเหลือระยะที่ 2 ซึ่งเป็นมาตรการที่ให้ประชาชนเลือก ที่จะเข้าร่วม (opt-in) โดยผู้ให้บริการทางการเงิน จะต้องจัดให้มีทางเลือก ของความช่วยเหลือให้กับลูกหนี้แต่ละกลุ่มเพื่อสามารถเลือกให้เหมาะกับกระแสรายได้ที่เปลี่ยนไปมากที่สุด

ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขยายระยะเวลาชำระหนี้ ทำให้ลูกหนี้มีภาระหนี้ต่อเดือนลดลง หรือหากเป็นการเลื่อนชำระหนี้ ก็จะมีการติดต่อลูกหนี้ในระหว่างที่เลื่อนชำระหนี้เพื่อเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับความสามารถของลูกหนี้ต่อไป

นอกจากนี้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน และให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดลง ธปท. ยังได้ปรับลดเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เหลือ 16% สินเชื่อบุคคลจาก 28% เหลือ 25% และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจาก 28% เหลือ 24% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ธปท. มีกลไกติดตามเพื่อให้ผู้ให้บริการทางการเงิน มีกระบวนการประเมิน ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ เพื่อเสนอทางเลือกในการช่วยเหลือได้ตามความเหมาะสมกับลูกหนี้ และให้เกิดความมั่นใจว่า เมื่อสิ้นสุดมาตรการการให้ความช่วยเหลือแล้ว จะไม่ทำให้ภาระหนี้ ของลูกหนี้เร่งขึ้น จนไม่สามารถชำระหนี้ได้ และไม่ส่งผลให้ระดับหนี้เสีย ของผู้ให้บริการทางการเงินพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันระบบสถาบันการเงินไทยมีความเข้มแข็ง โดยมีระดับเงินกองทุนและสภาพคล่องสูง สามารถรองรับการช่วยเหลือลูกหนี้ในระยะข้างหน้าได้ ธปท. และผู้ให้บริการทางการเงินยังคงทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ให้ก้าวข้ามผ่านช่วงที่ยากลำบากนี้ไปได้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo