อาการหนัก!! ที่ประชุม “กกร.” ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงมาเป็นติดลบ 8% จากเดิมคาดติดลบหนักสุดที่ 5.0% ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร.ว่า ในเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน แม้ภาครัฐทยอยคลายล็อกให้กิจกรรมเศรษฐกิจกลับมาเปิดดำเนินการ แต่เครื่องชี้เศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาวะหดตัว จากกำลังซื้อที่อ่อนแอของครัวเรือนและภาคธุรกิจ ส่งผลต่อบรรยากาศการใช้จ่ายภายในประเทศ
ขณะเดียวกัน การส่งออกและการท่องเที่ยวยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยและสถานการณ์โควิดในต่างประเทศที่ยังไม่ยุติ ทิศทางดังกล่าว คาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2/ 63 หดตัวลงลึกสู่อัตราเลขสองหลัก
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง แนวโน้มเศรษฐกิจยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง จากการระบาดของไวรัสโควิดในบางประเทศที่ยังรุนแรง ซึ่งจะทำให้การเปิดพรมแดนระหว่างประเทศของไทยคงเกิดขึ้นอย่างจำกัด ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ แรงฉุดจากเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และประเทศอื่นๆ ตลอดจนเงินบาทที่แข็งค่า อาจยังกดดันการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะหมวดสินค้าไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ
ทั้งนี้ มาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด ควบคู่กับแรงขับเคลื่อนจากกลไกภาครัฐผ่านการอนุมัติแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 4 แสนล้านบาท ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม จะเข้ามาช่วยประคองให้เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี ทยอยฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด อย่างไรก็ตาม การกลับสู่ภาวะปกติก่อนโควิดของกิจกรรมทางเศรษฐกิจคงต้องใช้เวลา และจำเป็นต้องอาศัยการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ที่ประชุม กกร. จึงมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงข้างหน้า ขณะที่ล่าสุดทั้ง IMF ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2563 ลงมาที่ -7.7% และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ปรับจีดีพี -8.1% ทั้งนี้ จากทิศทางเศรษฐกิจไทยที่ยังมีประเด็นท้าทายอยู่มากดังกล่าว
ในการประชุมรอบนี้ กกร. จึงได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ลงมาเป็น -5.0% ถึง -8.0% (จากเดิม -3.0% ถึง -5.0% ) ขณะที่ปรับลดกรอบประมาณการการส่งออกมาเป็น -7.0%ถึง -10.0% (จากเดิม -5.0% ถึง -10.0% ) และปรับลดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมาที่ -1.0% ถึง 1.5% (จากเดิม 0% ถึง -1.5% )
นอกจากนี้ ที่ประชุม กกร. มีความเป็นห่วงเรื่องเงินบาทที่แข็งค่าในอัตราที่เร็วกว่าสกุลเงินภูมิภาคในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา และยังมีความเป็นไปได้ที่เงินบาทจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอีกในระยะข้างหน้า จากเงินดอลลาร์ที่อยู่ภายใต้แรงกดดันจากเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแอกว่าคาดและการดำเนินนโยบายอัดฉีด QE ของสหรัฐ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ธนาคารโลก’ หั่นจีดีพีไทยปีนี้ติดลบ 5% คาดตกงานพุ่ง 8.3 ล้านคน!
- หอการค้าหวั่นเศรษฐกิจไม่ฟื้น! ฉุดจีดีพีติดลบหนักสุด 8.8%
- ‘กกร.’ คงเป้าจีดีพีปีนี้ที่ติดลบ 3-5% ห่วงสถานการณ์ว่างงาน!