ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยผ่านเอกสารเผยแพร่ ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนมีนาคม 2561 อยู่ที่ 53.3 สูงสุดในรอบ 5 ปี โดยดัชนีเพิ่มขึ้นจาก 51.4 ในเดือนก่อนมาอยู่ที่ 53.3 สูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2556 โดยเป็นการปรับดีขึ้นในทุกองค์ประกอบทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการภาคการผลิตและภาคที่มิใช่การผลิต โดยกลุ่มผู้ผลิตมีความเชื่อมั่นด้านการผลิตและคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นมากตามอุปสงค์จากต่างประเทศที่ขยายตัวดีและอุปสงค์ในประเทศที่ทยอยปรับดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเคมีและปิโตรเลียมและยางและพลาสติก กระดาษ อาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า สำหรับภาคที่มิใช่การผลิตความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ประกอบการภาคการค้าและโลจิสติกส์ตามปริมาณการค้าและคำสั่งซื้อที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีลดลงแต่ยังอยู่ในระดับสูงที่ 54.4 สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่ยังมีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ความเชื่อมั่นลดลงจากเดือนก่อนในเกือบทุกองค์ประกอบยกเว้นด้านการลงทุนที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 5 ปีโดยผู้ประกอบการในภาคการผลิตมีความเชื่อมั่นลดลงในด้านการผลิตและผลประกอบการ (แต่ยังสูงกว่าระดับ 50 ทั้งสองด้าน) โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตเหล็กตามคาดการณ์ว่ายอดขายจะลดลง ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากความกังวลที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในภาคที่มิใช่การผลิตลดลงในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างคาดว่าเป็นผลจากการเข้าสู่ช่วงฤดูฝนที่ปริมาณการก่อสร้างมีแนวโน้มลดลง
ดัชนีความเชื่อมั่นด้านการลงทุนทั้งในปัจจุบันและอนาคตเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน โดยเฉพาะการลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี ซึ่งเป็นการลงทุนเพิ่มทั้งในสิ่งปลูกสร้างและเครื่องจักรและอุปกรณ์
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่รุนแรงจากตลาดในประเทศกลับมาเป็นข้อจำกัดอันดับ 1 ในการดำเนินธุรกิจ ขณะที่ข้อจำกัดด้านต้นทุนการผลิตสูงผ่อนคลายลงบ้างจากเดือนก่อน สอดคล้องกับความเชื่อมั่นด้านต้นทุนที่ปรับดีขึ้นในเดือนนี้อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นด้านต้นทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มลดลง สะท้อนว่าต้นทุนการผลิตน่าจะสูงขึ้นและจะยังคงเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ ผู้ประกอบการยังคงคาดการณ์เงินเฟ้อในอีก 12 เดือนข้างหน้าใกล้เคียงเดิมที่ 2.1%
