กรมชลประทาน ขอความร่วมมือชาวนา เริ่มทำนาปี หลังหมดภาวะฝนทิ้งช่วง รอฝนใหม่ หลังกลางเดือน กรกฏาคม ยันบริหารจัดการน้ำเต็มที่
นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ เตือนทุกฝ่ายใช้น้ำอย่างประหยัด เพราะตั้งแต่ ปลาย มิ.ย.-กลาง ก.ค.นี้ จะมีปริมาณฝนตกน้อย เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง หรือสถานการณ์แล้งในหน้าฝน
ล่าสุด ข้อมูล ณ วันที่ 17 มิ.ย.ผลการเพาะปลูกข้าวนาปี ทั้งประเทศมีการทำนาปีไปแล้ว 4.43 ล้านไร่ หรือ 26% ของแผนการปลูกข้าวทั้งหมดที่วางไว้ 16.79 ล้านไร่ น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 14.87 ล้านไร่, ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทำนาแล้ว 1.88 ล้านไร่ คิดเป็น 23% ของแผนการปลูกข้าวที่วางไว้ 8.10 ล้านไร่ หรือน้อยกว่าปีก่อน 6.89 ล้านไร่
เมื่อแบ่งเป็นรายภาค พบว่า ภาคเหนือ ทำนาแล้ว 3.11 แสนไร่ จากแผนการเพาะปลูกข้าว 2.37 ล้านไร่, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำนาแล้ว 1.757 ล้านไร่ จากแผนเพาะปลูกข้าว 3.48 ล้านไร่, ภาคกลางทำนาแล้ว 1,000 ไร่ ของแผนเพาะปลูกข้าว 10,000 ไร่
ภาคตะวันออก ทำนาแล้ว 4.59 แสนไร่ ของแผนเพาะปลูกข้าว 9.2 แสนไร่, ภาคตะวันตก ทำนาแล้ว 1,000 ไร่ ของแผนเพาะปลูกข้าว 1.26 ล้านไร่ และภาคใต้ ทำนาแล้ว 1.6 หมื่นไร่ ของแผนเพาะปลูกข้าว 6.4 แสนไร่
สำหรับกรณีที่เกษตรกรยังไม่ได้ทำนาปี ขอความร่วมมือให้เริ่มทำนาปีช่วงหลังกลางเดือน กรกฏาคมเป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีฝนตกชุก และมีปริมาณน้ำเพียงพอในพื้นที่ จึงค่อยทำการเพาะปลูก เพราะกรมชลประทาน ได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการน้ำ โดยเน้นส่งน้ำเพื่อการ อุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศ เป็นหลัก
ด้านการเกษตรจะใช้ปริมาณน้ำท่าในแม่น้ำ และลำน้ำสาขาให้เกิดประโยชน์สูงสุด เน้นเก็บกักน้ำในอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้มีปริมาณน้ำสำรองไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งหน้าอย่างไม่ขาดแคลน
ด้านนายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำในเขื่อน ปี 2563 มีปริมาตร 30,765 ล้าน ลบ.ม. หรือ 43% ของความจุอ่างฯ และมีปริมาตรน้ำที่ใช้การได้เพียง 7,484 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งปริมาตรน้ำน้อยกว่าปีก่อน 5,563 ล้าน ลบ.ม.
ดังนั้น การทำนาในปีนี้ทำได้น้อยกว่าปีก่อนค่อนข้างมาก เพราะปริมาณน้ำต้นทุนมีน้อย และกรมชลประทานเก็บน้ำสำรองไว้เพื่อการอุปโภคบริโภค ส่วนการทำการเกษตรสนับสนุนให้ใช้น้ำฝน ขณะนี้ฝนเริ่มทิ้งช่วง จึงขอความร่วมมือจากชาวนาและเกษตรกร ให้ชะลอทำการเกษตรจนกว่าจะมีฝนใหม่ลงมา เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อพืชเกษตร
จากการติดตามสภาพฝนที่ตกในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำพบว่าปริมาณฝนที่ตกในลุ่มน้ำปิง วัง ยม และน่าน ยังอยู่ในเกณฑ์ไม่มากนัก ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มน้ำเจ้าพระยาน้อยตามไปด้วย
ทั้งนี้ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา (17-23 มิ.ย.2563) 4 เขื่อนหลัก มีน้ำไหลลงอ่างฯ รวมกันเพียง 119.94 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยน้ำไหลลงอ่างฯ รวมกันควรจะอยู่ที่ประมาณ 197 ล้าน ลบ.ม.
อ่านข่าวเพิ่มเติม
