The Bangkok Insight

น้ำตาชาวใต้จะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว ชาวสวนปาล์มหมดทางออกแล้วจริงหรือ

Avatar photo
490

 

ราคาผลปาล์มน้ำมันที่ตกต่ำต่อเนื่องมาเกือบสามปี เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการแก้ปัญหา เพราะในขณะที่มีวลีสวยหรูว่า จะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนเป็นระบบ มีการคลอดยุทธศาสตร์ปฏิรูปปาล์มฯ วางแผนระยะยาวตั้งแต่ปี 60-79 มีแผนออกกฎหมายปาล์มน้ำมัน และน้ำมันปาล์มมารองรับการพัฒนาอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนที่เป็นเอกภาพ

แต่สุดท้ายนอกจากไม่มีอะไรในกอไผ่แล้ว ตัวกฎหมายก็ยังถูกนำไปเล่นแร่แปรธาตุจนไม่เหลือเนื้อหาที่จะทำให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มได้อย่างที่วาดหวังไว้

ในขณะที่เกษตรกรต้องทนทุกข์กับราคาต่ำเตี้ยเรี่ยดินจากที่เคยอยู่หน้าโรงงานราคาเกือบ 7บาทในสองปีก่อน มีแววจะเหลือที่หน้าลานไม่ถีง2.50 บาทในเร็ววันนี้ ซึ่งถือว่าต่ำสุดในรอบ 20 ปี (ต้นทุนเกษตรกรกก.ละ 3.7บาท) รายได้เกษตรกรวันนี้หายไปเกือบร้อยละ 65 หรือเหลือเพียงร้อยละ 35 (คิดง่ายง่ายว่าเงินเดือนจาก10,000บาท เหลือเพียง 3,500บาท)

ตลอดเวลาที่ผ่านมามีความชัดเจนถึงแนวโน้มราคาที่จะลดต่ำลง รัฐบาลรับรู้ถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกที่ทำได้ยาก เนื่องจากอินเดียปรับเพิ่มภาษีจาก 15% เป็น 44% หรือข่าวว่ายุโรปจะปรับลดสัดส่วนของพลังงานทดแทนทำให้ตลาดน้ำมันปาล์มโลกสะเทือน

ถีงแม้ประเทศไทยจะมีสัดส่วนในตลาดการส่งออกน้ำมันปาล์มโลกเพียง 3% แต่้เป็นที่รับรู้ได้ล่วงหน้าว่าประเทศไทยจะต้องกระโจนเข้าสู่ตลาดปาลํมโลกตั้งแต่บัดนี้เพราะตัวเลขประมาณการผลผลิตของไืทยจะล้นความต้องการในประเทศเพิ่อการบริโภคและพลังงานของไทยคือปีละ 2.2ล้านตัน อยู่อย่างน้อย 400,000ตันต่อปีและจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกและการล้มยางปลูกปาล์ม

แต่เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงพลังงานไม่เตรียมความพร้อมใด ๆ ที่จะให้ความช่วยเหลือ มีเพียงข้ออ้างกับคำพูดสวยหรูที่ไร้ผลในทางปฏิบัติ อีกทั้งยังละเลยคำขอร้องของเกษตรกรสวนปาล์มน้ำมันมาอย่่างต่อเนื่องยาวนาน จนทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงไร้ทางออก ทั้ง ๆ ที่หลายเรื่องรัฐบาลอยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้ทันที แต่กลับเลือกที่จะไม่ทำ ส่วนที่ทำก็เป็นเพียงคำพูดที่ไร้ผลในทางปฏิบัติ โดยจะไล่เรียงให้เห็นเป็นรูปธรรม ดังนี้

1 ในปี 2561ปัญหาปาล์มน้ำมันล้นสต็อค โดยรัฐอ้างว่าขณะนี้มีผลผลิตมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 1 ล้านตัน คือจาก 14 ล้านตัน เพิ่มเป็น 15 ล้านตัน และมีสต๊อคค้างอยู่จากปลายปี 2560 ส่งมาต้นปี 2561ราว 4 แสนตัน

วิธีการแก้ไขที่เกษตรกรคนนีี้ขอร่วมคิดเพื่อขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการคือ

– กระทรวงพานิชย์เร่งเจรจาส่งออก จ่ายส่วนต่างเพื่อการส่งออก 200,000 ตันให้ได้ในสามเดือน (ให้ราคาน้ำมันปาล์มจากไทยให้แข่งขันได้ในตลาดโลก)

– กระทรวงพานิชย์ประกาศไม่นำเข้าน้ำมันปาล์มไปอีกสองปี

– พิจารณาผลกระทบจากน้ำมันถั่วเหลืองที่ทดแทนปาล์มและเริ่มใช้กำแพงภาษีในการนำเข้าถั่วเหลืองและจำกัดโควต้า แทนที่จะให้สิทธิพิเศษนำเข้าถั่วเหลืองโดยไม่เสียภาษีเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จะช่วยเพิ่มความต้องการปาล์มน้ำมันในตลาดมากขึ้น

– กระทรวงพลังงานเร่งศึกษาเปลี่ยนโรงงานไฟฟ้ากระบี่ปัจจุบันที่ใช้น้ำมันเตา เปลี่ยนเป็นบี 100 คือแปลงโรงงานไฟฟ้ากระบี่จากน้ำมันเตา 70% น้ำมันปาล์ม 30% เป็น บี100 ใช้น้ำมันปาล์มผลิตไฟฟ้าให้ได้เดือนละ 20,000ตัน เพื่อปรับลดสต๊อกน้ำมันในประเทศ

2 รัฐบาลยังไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่เกษตรกรขอให้กลับมาใช้ร่างพ.ร.บ.ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของเกษตรกรที่เคยผ่านการพิจารณาของครม.ไปแล้ว โดยยึดร่างของกฤษฎีกาซึ่งมีเนื้อหาไม่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มเหมือนที่รัฐบาลวางเป้าหมายไว้

3 การปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ต้องกระทำอย่างเคร่งครัดทั้งน้ำมันปาล์มที่ลักลอบนำเข้า หรือนำมันปาล์มที่ผ่านแดนจากไทยไปพม่าและลาว เพราะล้วนเป็นการแข่งขันแย่งตลาดน้ำมันปาล์มไทย

4 การลดผลผลิตไม่มีการสนับสนุนทางเลือกอื่นให้กับเกษตรกร เช่น การพิจารณาชะลอการปลูกปาล์มแทนยางพารา ควรพิจารณานโยบายที่้เปิดกว้างและก้าวหน้าของกองทุนสวนยาง กยส. เพื่อหาทางให้ประชาชนปลูกพืชทางเลือกอื่นแนวผสมผสาน

5 นโยบายปาล์มคุณภาพรัฐบาลยังเข้าใจผิดว่า เกษตรกรยังไม่สามารถปลูกปาล์มคุณภาพได้ ทั้ง ๆ ที่เกษตรกรสามารถผลิตปาล์มคุณภาพที่มีเปอร์เซ็นต์น้ำมันที่ 20.18 % มานานแล้ว ไม่ใช่ 17-18 % ตามตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ แต่ที่เกษตรกรต้องตัดขายในขณะที่เปอร์เซ็นต์น้ำมันอยู่ที่ 17 % เป็นเพราะโรงงานรับซื้อในเปอร์เซ็นต์เท่านี้ แม้จะมีผลผลิตที่ให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันมากกว่าก็ขายได้ในราคาเดียวกัน

แนวทางแก้ไขคือรัฐบาลต้องควบคุมให้โรงงานรับซื้อผลปาล์มคุณภาพที่ 20 % เท่านั้น ซึ่งจะทำให้โรงงานจ่ายเพิ่มราว 90 สตางค์ แต่ก็จะได้ปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเป็นผลดีทั้งกับโรงงานที่ชั่วโมงผลิตที่เสถียรขึ้น หีบน้ำมันได้มากขึ้นและเกษตรกรที่ได้รายได้มากขึน

ในปี 2561นี้ ถ้่ารัฐบาลส่งออกและใช้สต๊อกส่วนเกินเพิ่มได้จากระบบประมาณ หนึ่งล้านตัน (่400,000ตัน ในต้นปี 2560 และประมาณว่า 600,000 ตันของปี 2562) ระบบจะเข้าสู่ดุลยภาพทันที เรื่องนี้ไม่ง่ายแต่ต้องทำทันที เพราะการส่งออก การบริโภคและอุปโภคน้ำมันปาลํมต้องใช้เวลา ปรับตามผลผลิตทีี่จะล้นออกมาเรื่อยๆ

จะทำเพียงแค่คิดแต่ไม่ทำอะไรเหมือนเกือบสามปีที่ผ่านมาไม่ได้แล้ว เพราะหากช้ากว่านี้เพียงหนึ่งอึดใจ ทุกข์จะถาโถมชาวใต้อย่างล้นพ้น น้ำตาคนใต้จะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว

อย่ารอให้ถึงวันนั้น โปรดเร่่งทำสิ่งนี้ทันที เพราะทุกข์ของชาวบ้านที่ไม่ได้รับการแก้ไข คือบทสะท้อนและตอกย้ำ ถึงความล้มเหลวของรัฐบาลเผด็จการทหารที่ไร้น้ำยา

ถ้าคิดอะไรไม่ออก ลองคิดนโยบายลองคิดที่จะลดเงินเดือน คสช สนช ครม ข้าราชการสำนักนายก กระทรวงพานิชย์ กระทรวงพลังงาน ระดับผู้บริหารในส่วนที่เกี่ยวข้องเรื่องปาล์ม ลงเหลือร้อยละ 35 สิคะ

อะไรที่เป็นไปไม่ได้ ก็็จะเป็นไปได้ในทันที เอาเล่นเล่นสักสามเดือนพอค่ะ อย่าเอาจริงนะคะ ได้รู้ว่าที่ประชาชนบอกว่าทุกข์หนักหนา ทุกข์แบบนั้นมันเป็นอย่างไร