Politics

ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาอีกแล้ว! ‘หญิงหน่อย’ โวยเพื่ออะไรกันแน่!

ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาอีกแล้ว!! “หญิงหน่อย” โวยรัฐบาลโยนหินถามทาง จ้องต่อ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ถามต่อเพื่อควบคุม “โควิด” หรือคุมประชาชน

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan  พร้อมแชร์ภาพข่าวของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า “แบะท่าต่ออายุพรก.ฉุกเฉิน” โดยระบุว่า มาอีกแล้ว เริ่มโยนหินถามทาง จ้อง ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีก

ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนทั้ง 2 ด้านคือ

1. การควบคุมโรคระบาด

2. การดูแลปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง

รัฐบาลที่ชาญฉลาดและบริหารเป็น จึงต้องรักษาสมดุลระหว่างมาตรการการควบคุมโรค กับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น

ยิ่งใช้อำนาจปิดกั้นการทำมาหากินประชาชนนานเท่าไหร่ ความเสียหายทางเศรษฐกิจยิ่งสาหัสมากขึ้น

ในขณะนี้ ประเทศไทยไม่มีผู้ติดเชื้อ COVID ภายในประเทศมากกว่า 14 วันแล้ว (ที่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ในปัจจุบันล้วนเดินทางมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น)

แต่รัฐบาลจะพยายาม ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก โดยอ้างการควบคุมโรค COVID ย่อมส่งผลกระทบต่อการทำมาหากินของประชาชน

จนมีคำถามอื้ออึงว่า เป้าหมายที่แท้จริงในการต่อ

#พรกฉุกเฉิน เพื่อควบคุม COVID หรือควบคุมประชาชนกันแน่!!!

ดิฉันขอเตือนว่า การใช้อำนาจของรัฐบาล ต้องใช้เพื่อความมั่นคงของประชาชน ไม่ใช่เพื่อความมั่นคงของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ คุณหญิงสุดารัตน์ ได้เรียกร้องให้ยกเลิก “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” โดยระบุว่า ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องกำลังเป็นปัญหาใหญ่สำหรับประชาชนทุกหย่อมหญ้า รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการใน 3 เรื่องหลักคือ

1) เร่งเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐบาลที่ให้ปิดเมือง ปิดกิจการ

2) เร่งช่วยเหลือธุรกิจรายย่อยเอสเอ็มอีก่อนที่ธุรกิจเหล่านี้จะหมดลมหายใจ

3) เร่งปลดล็อกเปิดเมือง เปิดกิจการอย่างปลอดภัย โดยให้มีข้อกำหนดทางสาธารณสุขที่ชัดเจน

เราต้องชั่งน้ำหนัก ในการออกมาตรการในการควบคุมโรคให้เหมาะสม กับความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจ ที่กำลังเป็นปัญหาอย่างหนัก โดยเฉพาะ ในขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อได้ลดลงอย่างมาก และต่อเนื่อง จึงถึงเวลาที่จะปลดล็อก เปิดให้โอกาสประชาชน กลับมาทำมาหากินได้ ถึงวันนี้จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้อง ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีกต่อไปอีก เว้นแต่จะนำเรื่องโควิด-19 มาเป็นข้ออ้าง โดยรัฐบาล อาจห่วงความมั่นคงของตัวเองมากเกินไป จึงใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นเครื่องมือ จะเห็นได้จากการปิดกั้นการแสดงออก ในโอกาสครบรอบ 6 ปีรัฐประหาร ซึ่งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับโรคติดต่อ วิธีการเหล่านี้ จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาใหม่ และ ความขัดแย้งในสังคมเพิ่มขึ้น

ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ด้านพรรคเพื่อไทย เห็นว่า มาตรการที่รัฐใช้ในการควบคุม การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ได้แก่ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การล็อกดาวน์ประเทศ การหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการประกาศเคอร์ฟิว ไม่ได้สัดส่วนกับการป้องกัน และ ควบคุมการแพร่ระบาด ทำให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ จึงเห็นว่า รัฐบาลหมดความจำเป็น ที่จะคงสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไป รัฐบาลควรปลดล็อก ให้ความสำคัญ กับการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ที่จะเสียหายมากที่สุดในรอบ 100 ปี โดยประเมินว่า จีดีพี อาจจะติดลบถึง 7-9% ส่งผลคนตกงานมากกว่า 7-10 ล้านคน

ขณะที่ มาตรการเยียวยาประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด รัฐบาลก็ยังเยียวยาไม่ทั่วถึง ดำเนินการล่าช้า สร้างกติกากฎเกณฑ์ ที่ยุ่งยากกับประชาชน ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงการเยียวยา และส่อไปในทางทุจริต เอื้อพวกพ้อง รวมทั้งไม่มียุทธศาสตร์ ที่ทำให้การเยียวยา เกิดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ในส่วนการพยุงรักษาเศรษฐกิจ ไม่ให้ล่มสลาย พรรคเพื่อไทย เห็นว่ารัฐบาลมิได้มีมาตรการที่จะดูแลรักษา หรือ ช่วยเหลือผู้ประกอบการ ทำให้ต้องเลิกกิจการ หรือ บางรายต้องย้ายฐานเศรษฐกิจ ไปลงทุนในประเทศอื่น ส่งผลทำให้การเลิกจ้างงาน ซึ่งจะทำให้คนตกงานอย่างมหาศาล ปัญหาอาชญากรรมจะตามมา พระราชกำหนด 2 ฉบับ ได้แก่ พระราชกำหนดช่วยเหลือเอสเอ็มอี และ พระราชกำหนดรักษาเสถียรภาพทางการเงิน หรือที่เรียกว่า พระราชกำหนดอุ้มหุ้นกู้เศรษฐี ที่กระทรวงการคลัง จะต้องเข้าไปช่วยใช้หนี้ จากเงินภาษีของประชาชน ไม่ตอบโจทย์ของประเทศ และไม่สามารถพยุงรักษาเศรษฐกิจไว้ได้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo