COLUMNISTS

24 ก.พ.62 ถึงเวลาประชาชน ‘ต้านโกงผ่านการเลือกตั้ง’

Avatar photo
13

เข้าปฏิบัติหน้าที่กันไปแล้วสำหรับ กกต.ป้ายแดงทั้ง 5 คน ประกอบด้วย นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี และ นายปกรณ์ มหรรณพ ส่วนอีกสองเสือ กกต.ต้องร้องเพลงรอการสรรหาก่อนชงให้ สนช.เห็นชอบไปก่อน

กกต.ทั้ง 5 คน ซึ่งปวารณาตัวว่าจะทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นกลาง ไม่ถูกครอบงำโดยใครหน้าไหนทั้งสิ้น คงไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้สังคมได้จากคำพูดสวยหรูเท่านั้น แต่ต้องปฏิบัติ ประพฤติ ให้เห็นด้วยการทำงานที่เที่ยงตรง ไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหม หรือเกรงกลัวต่ออำนาจตามมาตรา 44 ที่เคยแสดงอิทธิฤทธิ์ปลด กกต.มาแล้ว

การทำงานของ กกต.ท่ามกลางอำนาจพิเศษและสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ในภาววะที่บ้านเมืองว่างเว้นการเลือกตั้งมานานถึง 5 ปี กว่าจะถึงวันเลือกตั้งที่คาดว่าเร็วที่สุดคือวันที่ 24 ก.พ.62 ย่อมเป็นงานหินที่ กกต.ต้องเร่งทำการบ้าน เพื่อจัดการเลือกตั้งให้เสรี เป็นธรรม ได้รับการยอมรับจากทั้งในและต่างประเทศ โดยมีภารกิจสำคัญที่ต้องตระหนักอย่างน้อย 4 เรื่อง ดังนี้

พิสูจน์ความเป็นอิสระ

วางบทบาทของ กกต.ให้ชัดเจนว่าเป็นองค์กรอิสระ มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายไม่ได้อยู่ภายใต้การครอบงำของผู้มีอำนาจ

ตรวจสอบดูแลทั้งกลไกราชการ การใช้อำนาจรัฐ พฤติกรรมของพรรคการเมือง ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง หรือมีการใช้กลเกมใต้ดินเพื่อต่อท่ออำนาจ จนเป็นเหตุให้การเลือกตั้งเกิดความไม่สุจริต เพื่อให้สังคมเกิดความเชื่อมั่นต่อองค์กรอิสระ หลังศรัทธาเริ่มถดถอยจากท่าทีของคสช.ที่ทำเสมือนจิกหัวใช้ กกต.ชุดที่ผ่านมา กระดิกนิ้วเรียกไปพบที่ทำเนียบรัฐบาล จนไม่กล้าแม้แต่จะทักท้วงในประเด็นที่เห็นว่าไม่ถูกต้องทั้งๆ ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตัวเอง ขณะที่คนกล้าพูดความจริงกลับถูกปลด

ภาพลักษณ์ในเชิงลบเช่นนี้ดูเหมือนทางคสช.เองก็เริ่มจะตระหนักรู้บ้างแล้ว ดูได้จากการที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปร่วมประชุมกับ กกต.ชุดใหม่ที่สำนักงาน กกต. แทนที่จะใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นที่บัญชาการเหมือนที่ผ่านมา ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี

กกต.ชุดใหม่ต้องรักษาบทบาทท่าทีและศักดิ์ศรีความเป็นองค์กรอิสระให้ได้ตลอดรอดฝั่ง ด้วยการพิสูจน์ให้เห็นว่าทำงานอย่างอิสระ ตรงไปตรงมา ดูแลทุกพรรคการเมืองอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าพรรคนั้นจะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตาม

อย่าทำให้เกิดภาพว่าพรรคของผู้มีอำนาจมีสิทธิพิเศษเหนือพรรคการเมืองอื่น เพราะนั่นหมายถึงการจัดการเลือกตั้งที่ล้มเหลวตั้งแต่ต้นทาง

แสดงให้เห็นว่าทำหน้าที่ได้ดีกว่า กกต.ชุดเก่า

กกต.ชุดปัจจุบันเป็นผลพวงจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่เปิดช่องให้พ.ร.ป.กกต.กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของกกต.ในขณะนั้นได้ จนเกิดการเซ็ตซีโร นำไปสู่การสรรหากกต.ชุดใหม่ ซึ่งระบุกันว่าคุณสมบัติดีเลิศ สเปคสูงกว่ากกต.ชุดที่ผ่านมา ดังนั้นต้องปฏิบัติหน้าที่ให้สมกับที่ได้รับการสรรหาเข้ามา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ร.ป.กกต.ฉบับใหม่ เพิ่มอำนาจให้กกต.คนเดียวสามารถยุติการเลือกตั้งบางเขตได้ตามมาตรา 26 (3) ที่บัญญัติว่า “เมื่อพบการกระทำหรือการงดเว้นการกระทำใด อันอาจเป็นเหตุให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือในกรณีจำเป็นอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จะสั่งให้ระงับหรือยับยั้งการดำเนินการเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งบางหรือทุกหน่วยในเขตเลือกตั้งที่พบเห็นการกระทำหรือการงดเว้นการกระทำนั้นก็ได้”

ด้วยอำนาจที่มากขึ้น กกต.จึงต้องมีทั้งความกล้าหาญและความรอบคอบในการตัดสินใจ เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาหรือข้อผิดพลาดใด ๆ

ดูแลการสรรหา สว.ให้เป็นไปอย่างสุจริต เที่ยงธรรม

กระบวนการสรรหา ส.ว.ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดให้มี 250 คน มาจากสองช่องทางคือ คสช.สรรหาเอง 200 คน และให้ กกต.จัดให้มีการเลือกกันเองของผู้สมัครให้ได้ 200 คน ส่งให้ คสช.เลือกเหลือ 50 คน

กกต.จึงมีหน้าที่ในการควบคุมการสรรหา สว. ไม่ต่างจากการควบคุมการเลือกตั้ง ส.ส. จึงต้องดูแลให้ได้เป็นไปอย่างสุจริต เที่ยงธรรม อย่าปล่อยให้มีการฮั้ว หรือล็อครายชื่อกันมา โดยใช้การเลือกกันเองเป็นเพียงแค่พิธีกรรม

อย่างน้อย สว. 50 คนในส่วนนี้ก็อาจพอเป็นที่พึ่งที่หวังของสังคมได้ว่าไม่ใช่คนของ คสช. 100 % เพราะผ่านการคัดกรองจากผู้สมัครด้วยกันเองมาแล้วระดับหนึ่ง แม้ในขั้นตอนสุดท้าย คสช.จะเป็นผู้คัดเลือกก็ตาม เนื่องจากสว.ทั้ง 250 คนจะมีบทบาททสำคัญต่ออำนาจทางการปกครองในการเลือกนายกรัฐมนตรี

จัดเลือกตั้งให้เสรีและเป็นธรรม

ไม่ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ –  5 พฤษภาคม 2562 สิ่งที่ กกต.ต้องเตรียมความพร้อม ไม่ใช่เพียงแค่การวางระบบ กลไกสำหรับการเลือกตั้งตามกติกาใหม่เท่านั้น แต่ยังต้องเตรียมความพร้อมให้กับประชาชนให้เดินหน้าเข้าสู่คูหาลงคะแนนด้วยความมั่นใจว่า จะได้คนดีเข้าสภาด้วย

การสร้างความตื่นรู้ให้ประชาชนสนใจและให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งว่าเป็นการชี้ชะตากำหนดอนาคตประเทศ เป็นภารกิจหลักที่ กกต.ต้องเร่งรณรงค์ตั้งแต่ตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวันที่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งแล้วค่อยมาขยับ เพราะจะสายเกินไป

ขณะที่ผู้มีอำนาจก็ควรเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับประชาชนให้รับทราบข้อมูล ความจริงถึงปัญหาของบ้านเมืองตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาว่า ต้นตอเกิดจากอะไร เพื่อให้ประเทศไทยก้าวข้ามปัญหา โดยประชาชนเป็นผู้พิพากษา เหมือนกับที่เพิ่งเกิดขึ้นกับการเมืองของมาเลเซีย ที่ประชาชนตื่นตัวให้บทเรียนกับรัฐบาลคอร์รัปชัน ใช้อำนาจมิชอบในขณะนั้น ด้วยการไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกฝ่ายค้านเข้ามาบริหารประเทศ ชนิดที่เรียกว่าชนะแบบถล่มทลายหมดข้อกังขา

ถ้าเราสามารถให้ความรู้ ความจริงกับประชาชนคนไทยได้อย่างทั่วถึง โมเดลการเมืองที่เราเห็นจากมาเลเซียถึงระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง ประชาชนเป็นผู้ต่อต้านการโกง ไม่เลือกคนเลวที่ทำร้ายบ้านเมืองเข้ามามีอำนาจ ผ่านการใช้สิทธิเลือกตั้งก็ไม่ไกลเกินฝัน และจะเป็นทางออกในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนสำหรับประเทศไทยให้ก้าวสู่ยุคปฏิรูปอย่างแท้จริงด้วย