Politics

‘วัคซีนโควิด’ เป็นเรื่องของอนาคต! ยังตอบไม่ได้จะได้ใช้เมื่อไหร่

“วัคซีนโควิด” เป็นเรื่องของอนาคต! ยังตอบไม่ได้จะได้ใช้เมื่อไหร่ ชี้การวิจัยพัฒนาวัคซีนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ละขั้นตอนต้องทดสอบในสิ่งมีชีวิต

วัคซีนโควิด : อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยขั้นตอนการตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันในหนูที่ได้รับวัคซีนต้นแบบ โควิด 19 ด้วยวิธี plaque reduction neutralization test (PRNT) โดยเน้นย้ำถ้าเซรั่มในเลือดหนูทำให้มีการติดเชื้อลดลงอย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าวัคซีนต้นแบบมีภูมิคุ้มกันในการป้องกันเชื้อโรคได้ ซึ่งวัคซีนต้นแบบนี้ จะนำไปทดลองในลิง และในคนต่อไป

วัคซีนโควิด

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสถาบันชีววัตถุ เป็นห้องปฏิบัติการในการควบคุมคุณภาพวัคซีนภาครัฐซึ่งองค์การอนามัยโลกให้การรับรองเป็นห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานในระดับภูมิภาค สำหรับการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ในประเทศ กรมวิทย์ฯ ได้ช่วยตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันในหนูที่ได้รับวัคซีนต้นแบบ โดยวิธี plaque reduction neutralization test (PRNT) ซึ่งต้องทดสอบโดยใช้เชื้อไวรัสโควิด 19 ภายใต้ระดับความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 3 การทดลองโดยนำซีรั่มจากเลือดหนูที่ได้รับวัคซีนต้นแบบมาเจือจางที่ระดับต่างๆกัน จากนั้นนำมาผสมกับไวรัสโควิด 19 ก่อนนำไปใส่ลงในเซลล์แล้วนำไปบ่มในอุณหภูมิที่เหมาะสม นาน 6 วัน จากนั้นนำไปย้อมสีและตรวจนับจำนวนไวรัส ถ้าซีรั่มในเลือดไม่มีภูมิคุ้มกัน เซลล์ก็จะติดเชื้อ 100% แต่ถ้าเซรั่มในเลือดมีภูมิคุ้มกันสามารถป้องกันเชื้อได้ ไวรัสที่อยู่ในเซลล์ที่มีการติดเชื้อจะลดลงอย่างน้อย 50% ซึ่งภูมิคุ้มกันที่ได้ ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าสามารถป้องกันโรคได้ดีหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนและยอมรับ

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการดูภูมิคุ้มกันขึ้นดีหรือไม่ดีนั้น สามารถดูได้จากการเจือจางซีรั่ม ถ้าเจือจางมากและพบการทำลายเชื้อไวรัสโดยภูมิคุ้มกันในซีรั่มลดลง 50% แสดงว่ามีภูมิคุ้มกันสูงในหนู ซึ่งวัคซีนต้นแบบของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ส่งมาให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจพบว่าสามารถเจือจางซีรั่มไปถึง 500 เท่า ยังสามารถทำลายเชื้อไวรัสได้ แสดงว่าในซีรั่มหนูมีภูมิคุ้มกันสูงต่อไวรัสโควิด 19 ขั้นตอนต่อไปวัคซีนต้นแบบนี้จะนำไปทดลองในลิงและในคนต่อไป

วัคซีนโควิด
“ส่วนในประเด็นเรื่องของการจะได้ใช้วัคซีนเมื่อไหร่นั้น เป็นเรื่องของอนาคตยังไม่สามารถตอบได้ ซึ่งบางประเทศรายงานเร็วที่สุดต้นปี 2564 บางประเทศรายงานปลายปี 2564 ซึ่งการวิจัยพัฒนาวัคซีนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ละขั้นตอนต้องทดสอบในสิ่งมีชีวิตทำให้ผลที่ได้มีความแปรปรวนของการทดสอบ จึงคาดการณ์ได้ยากว่าวัคซีนที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัยและมีประสิทธิผลนั้น จะสำเร็จได้เมื่อใด” นายแพทย์โอภาส กล่าว

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ประเทศไทยมีศักยภาพทั้งบุคลากรและเทคโนโลยีที่ไม่ได้เป็นรองนานาชาติมากนัก โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานภาคอุดมศึกษาต่างๆมีความพร้อม เพียงแต่เราไม่สามารถดำเนินการเพียงหน่วยงานเดียวได้อย่างครบวงจร จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันในหลายภาคส่วน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด 19 จนประสบความสำเร็จได้

ด้านศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย วันที่ 7 มิถุนายน 2563 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3,112 คน โดยไม่มีผู้เสียชีวิตรายใหม่ ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมทั่วประเทศอยู่ที่ 58 รายเท่าเดิม มีผู้ป่วยที่รักษาตัวหายเพิ่มขึ้น 1 คน ทำให้ยอดรวมผู้ป่วยรักษาตัวหายกลับบ้านอยู่ที่ 2,972 คน โดยมีผู้ป่วยอยู่ในโรงพยาบาลจำนวน 82 คน

พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศบค. ระบุว่า วันนี้ถือเป็นวันที่ 13 แล้ว ที่ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศ โดยผู้ป่วยรายใหม่ที่พบใหม่ทั้ง 8 ราย เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และอยู่ใน State Quarantine ทั้งหมด แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามประเทศต้นทางที่เดินทางกลับมา ดังนี้

ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 5 ราย

เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2563 ทุกรายเคยได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มาก่อนแล้ว แต่ไม่พบเชื้อ กลับมาประเทศไทย ตรวจพบเชื้อ แต่ไม่แสดงอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่กรุงเทพมหานคร

รายที่ 1 เพศหญิง อายุ 38 ปี อาชีพ พนักงานบริษัท
รายที่ 2 เพศหญิง อายุ 38 ปี อาชีพ พนักงานสปา
รายที่ 3 เพศหญิง อายุ 23 ปี อาชีพ พนักงานนวด
รายที่ 4 เพศหญิง อายุ 24 ปี อาชีพ พนักงานขายอาหาร
รายที่ 5 เพศชาย อายุ 37 ปี เป็นนักท่องเที่ยว

ประเทศคูเวต 2 ราย

รายที่ 6 เพศชาย อายุ 46 ปี อาชีพ รับจ้าง
รายที่ 7 เพศชาย อายุ 37 ปี อาชีพ รับจ้าง
ทั้ง 2 รายนี้ เดินทางถึงไทยเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2563 ตรวจไม่พบเชื้อ ตรวจครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2563 พบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่จังหวัดสมุทรปราการ

ประเทศอินเดีย 1 ราย

รายที่ 8 เพศชาย อายุ 52 ปี
เดินทางถึงไทยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2563 จากการคัดกรองที่สนามบิน พบว่า มีอาการไข้ และไอ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรปราการ

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK