เชื่อว่าหลายคนอาจเคยได้ยินเบื้องหลัง การเปิดให้บริการของสถานที่อ่านหนังสือสำหรับเด็กและวัยรุ่นชื่อดัง ” Too Fast To Sleep” ว่าเจ้าของอย่าง “เอนก จงเสถียร” ยอมเทเงินในกระเป๋าเพื่อซัพพอร์ตธุรกิจนี้ไม่ต่ำกว่าสาขาละ 300,000 บาทต่อเดือนมาอย่างต่อเนื่อง
ที่ผ่านมา ไม่มีเลยสักครั้งที่เขาจะออกมาเอ่ยถึงค่าใช้จ่ายที่สูงมากระดับนี้ว่าเป็นเรื่องเสียเวลา ตรงกันข้าม เขาเคยยอมรับออกสื่อหลายครั้งว่าทำธุรกิจนี้แล้วมีความสุข กับการได้เห็นพื้นที่ที่เขาสร้างขึ้น สามารถสร้างอนาคตให้กับเด็กไทยหลาย ๆ คนมาอย่างต่อเนื่อง
แต่สำหรับวันนี้ โมเดลธุรกิจของ Too Fast To Sleep จะขยับขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งผู้ก่อตั้งบอกว่า ทำเพื่อให้แบรนด์นี้ “อยู่ได้อย่างยั่งยืน” มากขึ้น
สำหรับแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คุณเอนก จงเสถียร ให้สัมภาษณ์กับทีมงาน The Bangkok Insight ว่า
“ที่ผ่านมา เราไม่ได้หวังทำรายได้อยู่แล้ว เพราะทำอย่างไรก็ไม่คุ้ม เรียกว่าทำเอาบุญดีกว่า แต่บังเอิญผมไปเจอเด็กคนหนึ่งที่ มช. (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) แล้วรู้สึกว่า เออ เด็กมันคิดดี คือเขามาซื้ออาหารในร้าน แล้วก็กลับไปดูหนังสือ สักพักมาใหม่ ซื้ออีกแล้ว เรียกได้ว่าทุกครั้งที่มาเขาซื้อทุกครั้ง ก็เลยไปถามว่าทำไมล่ะ ไม่ซื้อก็ได้นี่ เด็กคนนั้นบอกกลัวที่นี่เจ๊ง เดี๋ยวรุ่นน้องไม่มีที่อ่านหนังสือ ตัวเขาเองพอจะจ่ายได้ ก็เลยอยากช่วยสนับสนุน”
ความคิดนี้เองที่ทำให้เขาต้องกลับมาทบทวนโมเดลธุรกิจของ Too Fast To Sleep อย่างจริงจัง เพราะในวันที่ Too Fast To Sleep มีเด็กจำนวนหนึ่งเห็นคุณค่า และอยากรักษาสถานที่นี้เอาไว้นาน ๆ ทำไมตัวเขาเองยังบอกว่าจะทำธุรกิจแบบ “ช่างมัน” อยู่ต่อไป
“คือเมื่อก่อนทำแล้วช่างมัน มีคนมาก็มา ไม่มีคนมาก็อยู่ได้ เรายังมีข้าวกิน เรามีความสุขก็พอแล้ว แต่ถ้ายังเป็นแบบนั้น ผมตายไปมันก็จบ ตอนนี้ เราก็เลยจะเปลี่ยนโมเดลธุรกิจให้มันอยู่ได้ เป็น Social Enterprise แทน นั่นคือ เราจะเริ่มมีโปรดักส์ เช่น อาหารเมนูแรกที่จะเปิดตัวคือ ข้าวมันไก่ แต่ไม่ได้บังคับนะ อย่างสาขาที่สามย่าน กับสยาม ดูหนังสือเสร็จ แทนที่จะเดินไปไกล ๆ ก็มากินที่นี่ แล้วเราก็ขายของไม่แพง เพราะแถวนี้ ข้าวมันไก่จานละ 60 บาทถือไม่ว่าไม่แพง เขาขายกัน 70 บาท แล้วเราให้เยอะ ของเราเน้นคุณภาพ”
“ส่วนเมนูอาหารอื่น ๆ ก็จะมีตามมาเช่นกัน คือเราได้เชฟฝรั่งมา ฝีมือดีมาก อีกหน่อยเราจะทำพาสต้าขาย พาสต้า จะมาวันที่ 25 กันยายน ตอนนี้กำลังทำโมเดลธุรกิจอยู่”
ปัจจุบัน Too Fast To Sleep มีทั้งสิ้น 6 สาขา ได้แก่ สามย่าน สยามสแควร์ (อยู่กับธนาคารไทยพาณิชย์) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศาลายา เชียงใหม่ และศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสาขาที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่นั้น หลัก ๆ มี 2 แห่ง ได้แก่ สามย่าน และเกษตร ซึ่งยังเป็นพื้นที่ที่ขาดทุนอยู่ แต่ก็มีอีกหลายสาขาแล้วเช่นกันที่เริ่มอยู่ได้ด้วยตัวเองกันมากขึ้น
“ตอนนี้ขาดทุนน้อยลง อย่างสาขาที่สยามสแควร์ไม่ขาดทุนแล้ว อยู่ได้ด้วยตัวเองแล้ว คือต้องบอกว่าที่สยาม สร้างเท่าไรก็ไม่พอ เพราะมันเป็นศูนย์กลาง คนไปมาเยอะ แล้วก็ต้องบอกว่าไทยพาณิชย์มีบุญคุณกับเรามาก วิธีคิดของเขาช่วยสนับสนุนเราเยอะ แค่เขาให้เราลงทุน โดยไม่เก็บค่าเช่า แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว อย่างสยามนี่ค่าเช่ากี่แสนล่ะ ก็ถือว่าเขาสนับสนุนเต็มที่แล้ว หรือเวลาคนมาที่สาขา แล้วช่วยโปรโมตเล็ก ๆ น้อย ๆ เออ ขึ้นมานั่งกินน้ำข้างบนไหม แค่นี้ก็ถือว่าช่วยเรามากแล้ว”
“ส่วนที่เชียงใหม่ก็พออยู่ได้ ที่ขาดทุนตอนนี้คือสามย่านกับเกษตร เพราะเราทำสถานที่ไว้รองรับเด็กได้เป็นพัน พอปิดเทอมเด็กก็หายหมด แต่พอช่วงสอบนะ ทุกห้องแทบไม่พอนั่ง เต็มทุกห้อง ส่วนศาลายา ยังขาดทุน เพราะสภาพแวดล้อมไม่ดี ถนนข้างหน้าน้ำท่วม คนก็เลยไม่อยากมา ตอนนี้ก็กำลังดูๆ อยู่ อาจจะหาทางแก้ เช่น หารถวิ่งรับส่งให้เด็ก ๆ”
นอกจากนั้น การตั้งอยู่ของ Too Fast To Sleep ยังกลายเป็นจุดเปลี่ยนของไลฟ์สไตล์วัยรุ่นหลาย ๆ คน โดยเฉพาะสาขาสยามสแควร์ที่เอนกเล่าว่า บางทีแน่นตั้งแต่หกโมงเช้า
“คือเด็กเดี๋ยวนี้เขาหนีรถติด เขามาถึงเช้าๆ แล้วก็มานั่งอ่านหนังสือที่ Too Fast To Sleep ดีกว่าตื่นหกโมงแล้วถึงโรงเรียนแปดโมง ตอนนี้ก็เลยคิดว่าจะจัดแคมเปญ ใครมาถึงที่นี่ตอนเช้าจะมีขนมฟรีให้เด็ก นี่คิดนะ แต่เดี๋ยวบอกให้ลูกทำ เด็กมาแต่เช้า ก็มากินข้าวที่นี่ ตอนนี้เรากำลังจะออกหลายอย่าง อย่างครัวซองต์ ไข่ดาว ไส้กรอกชุด อะไรง่าย ๆ แบบนี้ กำลังคิดอยู่ว่าคนไทยจะกินไหม”
“ที่นี่เหมือนบ้าน มีอย่างเดียวที่ทำที่นี่ไม่ได้ก็คือนอน เอกเขนกได้ ไม่ต้องสนใจใคร เราอยากให้ Feel like home นั่งเอกเขนกดูหนังสือได้ แล้วที่สำคัญคือไม่เก็บตังค์ ผมเชื่อว่าที่นี่เหมาะกับทุกคนนะ”