Digital Economy

โครเกอร์จับมืออาลีบาบา เปิดหน้าร้านบนทีมอลล์เจาะสินค้าสุขภาพ

kroger
ภาพจากโครเกอร์

ในวันที่วอลมาร์ทหันมากระชับความสัมพันธ์กับกูเกิลมากขึ้นเพื่อต้านการรุกตลาดค้าปลีกของอเมซอน (ที่ควบกิจการโฮลฟู้ดมาเมื่อไม่นานนี้) อีกค่ายหนึ่งที่น่าจับตาในตลาดค้าปลีกสหรัฐอเมริกาก็คือโครเกอร์ (Kroger) ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่เบอร์สองของตลาดรองจากวอลมาร์ท โดยโครเกอร์ได้มีการประกาศร่วมมือกับอาลีบาบา (Alibaba) แบรนด์อีคอมเมิร์ซชื่อดังจากจีนแผ่นดินใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีการเปิดหน้าร้านของบริษัทขึ้นอย่างเป็นทางการบนทีมอลล์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา

โดยหมวดสินค้าที่จะไปนำเสนอบนทีมอลล์นั้นประกอบด้วยสินค้ากลุ่มออแกนิค อาหารเสริม สินค้าเกษตรอินทรีย์ และสินค้าที่โครเกอร์ผลิตเองในชื่อแบรนด์ Simple Truth ที่เปิดตัวมาแล้ว 5 ปี และปัจจุบันมียอดขายสูงกว่า 2 พันล้านดอลลาร์

การขยับตัวครั้งนี้ของโครเกอร์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะที่ผ่านมา ตลาดค้าปลีกของสหรัฐอเมริกามีการแข่งขันกันรุนแรงมาก ทำให้โครเกอร์ตัดสินใจที่จะปรับรูปแบบธุรกิจเพื่อให้สามารถให้แข่งขันกับวอลมาร์ทและอเมซอนได้ หนึ่งในนั้นคือการซื้อหุ้นของโอคาโด ซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ในอังกฤษ หรือการเปิดตัว Kroger Ship แพลตฟอร์มออนไลน์ของโครเกอร์ที่นำเสนอสินค้าเพื่อสุขภาพ และอาหารเกษตรอินทรีย์ผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีสินค้าประมาณ 5,000 รายการบนช่องทางดังกล่าว

อย่างไรก็ดี Kroger Ship ยังเปิดให้บริการแค่บางเมือง แต่ทางผู้บริหารก็เผยว่ามีแนวโน้มที่จะขยายการให้บริการไปทั่วประเทศ รวมถึงในพื้นที่ที่โครเกอร์ไม่มีห้างค้าปลีกตั้งอยู่ด้วย

ส่วนการจับมือเป็นพันธมิตรกันระหว่างโครเกอร์กับอาลีบาบา ก็ถือได้ว่ามีผลดีต่อธุรกิจของทั้งสองบริษัท ทั้งในสหรัฐอเมริกาและจีน โดยในจีน โครเกอร์สามารถช่วยให้อาลีบาบามีแต้มต่อในด้านสินค้าจากต่างประเทศไม่ต่างจาก JD.com ที่มีวอลมาร์ทเข้ามาลงทุน อีกทั้งเทคโนโลยีของอาลีบาบาในห้างเหอหม่ายังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับโครเกอร์ ให้สามารถนำเสนอสินค้าได้ดียิ่งขึ้นในห้างค้าปลีกของตนเอง

นอกจากนั้นต้องอย่าลืมว่า บนทีมอลล์ มีผู้ซื้อชาวจีนรอจับจ่ายอยู่ราว 500 ล้านคนด้วย

แต่อีกมุมหนึ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ การเป็นพันธมิตรกันครั้งนี้ยังทำให้อาลีบาบามีโอกาสเข้าถึงฐานข้อมูล และเทรนด์ของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจมีผลต่อการขยายธุรกิจในอนาคตของอาลีบาบาด้วยนั่นเอง

ทั้งนี้ ทางบริษัทไม่มีการเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์รายได้ที่จะเกิดขึ้นจากการร่วมมือเป็นพันธมิตรกับอาลีบาบา แต่สำหรับในปีที่ผ่านมา โครเกอร์มียอดขายทั้งสิ้น 1.2 แสนล้านดอลลาร์ และปัจจุบัน โครเกอร์เป็นธุรกิจค้าปลีกที่มีรายได้อันดับสามของโลก ส่วนในตลาดสหรัฐอเมริกา โครเกอร์เป็นรองแค่วอลมาร์ทเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ BusinessInsider, CNBC, Bloomberg

Avatar photo