สโตร์ฮับ ดัน Beep Delivery ชิงตลาดสั่งอาหารออนไลน์ไทย หลังจากให้บริการแล้วที่บริษัทแม่มาเลเซีย รับมือประกาศล็อกดาวน์ ชูจุดเด่นดัมพ์ส่วนแบ่งแค่ 2% หวังดึงร้านอาหารไทยเข้าร่วมให้บริการ
Wai Hong Fong ผู้บริหารบริษัท สโตร์ฮับ เปิดเผยว่า สโตร์ฮับ ได้ขยายธุรกิจจากเดิมที่ดำเนินธุรกิจระบบ POS ที่ทำงานบนคลาวด์สำหรับร้านค้าปลีกและร้านอาหาร ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 15,000 ร้านค้าทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยรุกขยายธุรกิจสู่ ฟู้ด เดลิเวอรี่ ภายใต้ชื่อ “Beep Delivery”
ทั้งนี้ ทีมงานของสโตร์ฮับใช้เวลาพัฒนาฟีเจอร์ Beep Delivery ขึ้นมาภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากที่มีการประกาศล็อกดาวน์ 14 วันในประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2563 นื่องจากเห็นว่า การส่งอาหารออนไลน์จะเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยพยุงธุรกิจของลูกค้าไว้ได้
จากนั้นเมื่อมีประกาศล็อกดาวน์ปิดพื้นที่เสี่ยงในกรุงเทพและปริมณฑลในวันที่ 22 มีนาคม 2563 ทีมงานสโตร์ฮับจึงเร่งทำงานและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเปิดตัว Beep Delivery เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารในไทยสามารถสร้างรายได้ผ่านทางการส่งเดลิเวอรี่ โดยเปิดตัวฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา
สำหรับกลยุทธ์การตลาดของ Beep Delivery จะจุดเด่นจากการเก็บค่าบริการจากร้านอาหารเพียง 2% เท่านั้น (ไม่รวมค่าระบบฟีเจอร์จัดการร้านอาหาร) จากปัจจุบันที่ร้านอาหารจะต้องเสียค่าธรรมเนียมประมาณ 25 – 35% จากทุก ๆ ยอดขายให้กับแอพสั่งอาหาร ฟู้ด เดลิเวอรี่ที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน
“สโตร์ฮับเห็นว่าการหักค่าธรรมเนียมและส่วนต่างราคาแพง จะทำให้ร้านอาหารมีโอกาสไปต่อได้ยากในช่วงเวลาที่ลำบากเช่นนี้ ซึ่งเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่นแล้ว สโตร์ฮับสามารถช่วยผู้ประกอบการร้านอาหารประหยัดค่าดำเนินการและเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจได้มากถึง 27%”
นอกจากนี้ การคิดค่าธรรมเนียมที่ลดลง ทำให้สโตร์ฮับมั่นใจว่าธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มจะยังสร้างยอดขาย ทำกำไร และมีเงินหมุนเวียนกันต่อไป
พร้อมกันนี้ เพื่อขับเคลื่อนบริการสั่งอาหารออนไลน์และฟู้ด เดลิเวอรี่ อย่างเต็มรูปแบบ สโตร์ฮับได้ร่วมมือกับ Lalamove และ Skootar รวมถึงบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำ พร้อมรวบรวมพนักงานส่งอาหารทั้งในกรุงเทพ, นครปฐม, สมุทรปราการ เพื่อให้มั่นใจว่าคนไทยทุกคนที่อยู่บ้านจะได้ทานอาหารร้านโปรดทั้งในช่วงล็อกดาวน์ และช่วงหลังไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย
“เราเริ่มภารกิจ #Saveร้าน เพื่อให้บริการร้านค้าออนไลน์และ ฟู้ด เดลิเวอรี่ สำหรับร้านอาหารทันที เป็นภารกิจสำคัญที่เรามุ่งมั่นช่วยเหลือธุรกิจในพื้นที่ให้ไปต่อได้ในช่วงนี้ เพราะธุรกิจร้านอาหารที่ว่านี้ถือเป็นแหล่งรายได้ของใครหลายคน”
ทั้งนี้จากการรายงานของ JP Morgan Chase ที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจขนาดเล็กก็พบว่า ปกติแล้วร้านอาหารจะมีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายเพียง 16 วันเท่านั้น บวกกับข้อมูลสถิติที่สโตร์ฮับมีก็พบว่า 57% ของร้านอาหารจะต้องเผชิญกับปัญหารายได้ลดลงมากกว่า 50% ในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา
สิ่งนี้เองที่เป็นแรงผลักดันให้ทีมงานสโตร์ฮับ พัฒนา Beep Delivery ขึ้นมา และทำงานกันอย่างหนักเพื่อให้มั่นใจว่าร้านอาหารและธุรกิจต่าง ๆ จะยังคงมีรายได้ ไม่ใช้เงินสำรองจ่ายจนหมด หรือต้องปิดตัวลง
ขณะเดียวกัน สโตร์ฮับ ยังได้พัฒนา “https://beepit.com/” เว็บสั่งอาหารออนไลน์ที่รวมร้านอาหารเด็ด ๆ ซึ่งร้านเหล่านี้จะส่งตรงอาหารแสนอร่อยไปยังลูกค้าถึงบ้านได้อย่างง่ายดาย โดย Beepit.com จะเป็นเสมือนช่องทางในการช่วยโปรโมทร้านอาหาร ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น โดยร้านค้าจะได้เว็บไซต์ ชื่อร้านค้า.beepit.com เพื่อให้สามารถโปรโมทผ่านโซเชียลมีเดียอีกทางหนึ่ง
- อีคอมเมิร์ซ จาก ‘ทางเลือก’ สู่ ‘ทางรอด’ ธุรกิจหลังโควิด
- กขค. สั่งตรวจเข้ม ‘ฟู้ด เดลิเวอรี่’ เจอเมื่อไหร่ โดนทันที ‘เอาเปรียบร้านค้า-ขวางทำธุรกิจ’
- แนะงัดกลยุทธ์การตลาดฟื้น ‘โรงแรม-รีสอร์ท-ร้านอาหาร’ หลังวิกฤติโควิด-19