บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ของตระกูลชินวัตร อย่าง บมจ.เอสซี แอสเสท นับเป็นผู้ประกอบการรายกลางในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มียอดขายและรายได้เติบโตต่อเนื่องปีนี้ด้วยเป้าหมาย 1.7 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะทำได้ตามที่วางแผนไว้ แต่นอกเหนือจากตัวเลขยอดขายแล้ว เอสซี แอสเสท ยังมีเป้าหมายอีกอย่างที่ต้องการเดินไปให้ถึง คือเป็นผู้ให้บริการด้านที่อยู่อาศัยที่พร้อมเซอร์วิสลูกค้าทุกด้าน หรือการเป็น ลิฟวิ่ง โซลูชั่น โพรไวเดอร์ (Living Solution Provider)
นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเป้าหมายการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทว่า นอกจากจะวางแผนขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องแล้ว สิ่งที่ต้องเดินไปให้ถึงสำหรับปีนี้นั่นคือ การเป็นผู้ให้บริการด้านที่อยู่อาศัยที่พร้อมทุกด้าน หรือเป็น ลิฟวิ่งโซลูชั่น โพรไวเดอร์ ซึ่งจะเป็นการตอกย้ำแบรนด์เอสซีฯ ในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่องก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งนายณัฐพงศ์ เผยว่าในช่วงครึ่งปีแรก เอสซีเติบโตทั้งรายได้และกำไรสุทธิ โดยมีรายได้รวม 6,652 ล้านบาท เติบโต 44% ซึ่งรายได้หลักมาจากโครงการเพื่อขาย 6,223 ล้านบาท คิดเป็น 94% ของรายได้รวม ประกอบด้วย รายได้จากการขายแนวราบ 4,522 ล้านบาท เติบโต 49% และเมื่อเทียบกับกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา การเติบโตของแนวราบมีความโดดเด่นใน 3 กลุ่ม ได้แก่
- บ้านหรูราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป เติบโต 67%
- บ้านราคา 8-20 ล้านบาท เติบโต 512%
- บ้านราคาน้อยกว่า 5 ล้านบาท เติบโต 132%
รายได้ส่วนที่สองมาจากการขายคอนโดฯ 1,701 ล้านบาท เติบโต 49% เช่นกัน ส่วนใหญ่มาจากการโอนโครงการ SALADAENG ONE (ศาลาแดง วัน) 1,119 ล้านบาท และที่เหลือ 582 ล้านบาท มาจากคอนโดฯ สร้างเสร็จพร้อมอยู่จากโครงการ CHAMBERS (แชมเบอร์ส), CENTRIC (เซ็นทริค) และ THE CREST (เดอะเครสท์)
กำไรสุทธิโต 107%
ในส่วนของกำไรบริษัทมีกำไรสุทธิ 704 ล้านบาท เติบโต 107% มาจาก 2 สาเหตุหลัก คือ มีรายได้เติบโตทั้งแนวราบและแนวสูง โดยเริ่มโอนคอนโดฯ SALADAENG ONE (ศาลาแดง วัน) ในไตรมาส 2 และการบริหารค่าใช้จ่ายมีประสิทธิภาพดีขึ้น ทั้งด้านการตลาด ด้วยรายได้ที่เติบโต 49% แต่มีค่าใช้จ่ายการตลาดลดลง 13%
นอกจากนี้บริษัทยังได้ทำ JBP (Joint Business Partner) กับ Google และใช้การตลาดออนไลน์สูงกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 100% พร้อมกับค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการแนวราบเฉลี่ยลดลง 15%
สำหรับยอดขายรวมครึ่งปีแรกเอสซีทำได้ 7,235 ล้านบาท โดยมาจากแนวราบและแนวสูงในสัดส่วน 70% และ 30%โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวมเท่ากับ 4.1 หมื่นล้านบาท และ 2.6 หมื่นล้านบาทตามลำดับ
ส่วนแผนงานในครึ่งปีหลัง เอสซีจะมีโครงการเปิดขายรวมทั้งสิ้น 51 โครงการ มูลค่ารวม 4.7 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 15 โครงการใหม่ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท และโครงการต่อเนื่อง 36 โครงการ มูลค่า 3.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอดขาย รอโอนหรือ Backlog เท่ากับ 1 หมื่นล้านบาท โดย 45% จะรับรู้รายได้ในปี 2561 ทำให้มั่นใจว่า ภายในปีนี้เอสซีจะทำได้ตามเป้ายอดขายและรายได้ 1.7 หมื่นล้านบาท
แผนเปิด 15 โครงการใหม่ แบ่งเป็น คอนโดฯ 1 โครงการ คือ แชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ราคา 3-5 ล้านบาท และโครงการแนวราบทุกระดับราคา จำนวน 14 โครงการ มูลค่ารวม 1.3 หมื่นล้านบาท ดังนี้ เป็นบ้านราคา 3-60 ล้านบาท จำนวน 10 โครงการ ได้แก่
- 1.เดอะ เจนทริ เอกมัย-ลาดพร้าว
- 2.แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย
- 3.บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์-บางนา
- 4.บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม 9-2
- 5.บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย
- 6.เวนิว ติวานนท์-รังสิต
- 7.เวนิว เวสต์เกต
- 8.เวนิว พระราม 9
- 9.เพฟ ปิ่นเกล้า-ศาลายา
- 10.เพฟ มอเตอร์เวย์-ฉะเชิงเทรา
และทาวน์โฮม 2 โครงการ และ โฮมออฟฟิศ 1 โครงการ ราคา 2-10 ล้านบาท ได้แก่
- 11.เวิร์ฟ ติวานนท์-รังสิต
- 12.เวิร์ฟ พระราม 9
- 13.เวิร์คเพลส เพชรเกษม 81-2
นอกจากนี้ยังเปิดแบรนด์ใหม่ชื่อ “V Compound” เป็นบ้านและทาวน์โฮม ราคา 3-7 ล้านบาท
- 14.โครงการวี คอมพาวด์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า
สำหรับกลยุทธ์ Re-invention 2020 ที่มุ่งสู่การเป็น Living Solutions Provider มีความคืบหน้าไปแล้วตามแผน ดังนี้ คือร่วมพัฒนา Baan Rue Jai Application กับบริษัท ไฟร์ วัน วัน จำกัด เพื่อสร้างประสบการณ์การสื่อสารที่ใกล้ชิดระหว่าง เอสซี และ ชาวเอสซี แฟมิลี่ พร้อมให้ดาวน์โหลดทั้งระบบ iOS และ Android ไตรมาส 4 นี้ โดย 2 feature สำคัญเป็นการแจ้งซ่อม และ One-on-One Conversation ที่ชาว SC Family สามารถติดต่อ SC และติดตามสถานะงานซ่อมได้ทุกที่ตลอด 24 ชม. และหลังจากนี้จะมี feature ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาทุก ๆ ไตรมาส ผ่านวิธีคิดอย่างเข้าใจและรู้ใจผู้ใช้ (human-centric)
สร้างทาวน์ชิพ 240 ไร่
นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจหลากหลายใน ecosystem นำร่องโดยการจัดสรรพื้นที่จำนวน 6 ไร่ บริเวณด้านหน้าของที่ดินบางกะดี จ.ปทุมธานี ขนาด 240 ไร่ เพื่อพัฒนาพื้นที่สาธารณะให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้อยู่อาศัยและชุมชนในย่าน
เริ่มปรับปรุงพื้นที่กว่า 1,500 ตร.ม. บริเวณชั้น 14 ณ อาคารชินวัตร 3 สำนักงานใหญ่ เป็น co-working space เพื่อส่งเสริมการทำงาน (co-creation) ร่วมกับ Startup หรือกลุ่มพันธมิตรธุรกิจต่างๆ พร้อมเปิดใช้ไตรมาส 2/2562
ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ Slingshot Group ปรับวัฒนธรรมองค์กร เพื่อรองรับการเติบโตในบริบทใหม่ สำหรับทุกคนในองค์กร และ คนรุ่นใหม่ที่จะเข้าร่วมงานกับเอสซีในอนาคต
นายณัฐพงศ์กล่าวว่า บริบทใหม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของ landscape ในการทำธุรกิจเอสซี จะเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน โดยเป็น Living Solutions Provider ผสานนวัตกรรมเข้ากับที่อยู่อาศัย เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบันและอนาคต และพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ เรียนรู้พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอของมนุษย์ผู้อยู่อาศัย