Properties

ทาวน์เฮ้าส์ 5 เดือน โต 67% ‘ลลิล’ บุกครึ่งปีหลัง 3 พันล้าน

4553
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาว่า เป็นครึ่งปีแรกที่มีสัญญาณเศรษฐกิจดีหลายตัว ทั้งจากการส่งออก และการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้น รวมทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี มีแนวโน้มที่ดี ภาพรวมธุรกิจอสังหาฯในไตรมาส 3 และ 4 ปี 2561 น่าจะดีต่อเนื่องจากเศรษฐกิจประเทศที่ขยายตัว โดยภาพรวมทั้งปี 2561 น่าจะเห็นการขยายตัวราว 4 – 4.5% มาจากปัจจัยหนุนของการส่งออกและการท่องเที่ยว อีกทั้งเริ่มเห็นสัญญาณการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชนมีทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐเริ่มกลับมาขยายตัวในช่วงครึ่งปีหลัง

นอกจากนี้ หากดูจากตัวเลขภาคอสังหาฯ ในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้เติบโตค่อนข้างดี จากฐานข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ที่ระบุว่าในระยะ 5 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.) ภาพรวมตลาดอสังหาฯ เติบโตประมาณ 19% โดยตัวเลขการขายอสังหาฯตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมาประมาณ 1.2-1.3 แสนยูนิต ในปี 2560 ลดลงเหลือ 1.1 แสนยูนิต แต่ในปี 2561 คาดว่าตลาดจะกลับมาโตมากกว่า 1.3 แสนยูนิตได้

หากมองแยกตามกลุ่มสินค้า ตลาดที่อยู่อาศัยจะพบว่า 5 เดือนแรกของปีนี้บ้านเดี่ยวเติบโต 9% ทาวน์เฮ้าส์เติบโตมากที่สุดถึง 67%  คอนโดมิเนียมเติบโต 30% ส่วนสินค้าอีก 2 ตัวเป็นรูปแบบที่ตลาดไม่นิยม ทำให้ปรับตัวลดลง คือบ้านแฝดลดลง 35% และอาคารพาณิชย์ลดลง  44% ตลาดปรับตัวตามพฤติกรรมลูกค้าและต้นทุนการพัฒนา เนื่องจากที่ดินมีราคาสูงขึ้น รูปแบบการพัฒนาบ้านแนวราบจากบ้านเดี่ยว จึงปรับมาเป็นทาวน์เอ้าส์มากขึ้น และหลายโครงการจะพบว่าขยายทำเลเข้ามาพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ สินค้าแนวราบก็ปรับรูปแบบจากบ้านเดี่ยวเป็นทาวน์เฮ้าส์ หรือทาวน์โฮม เพื่อให้ราคาสอดรับกับกำลังซื้อของตลาด ทำให้ตลาดทาวน์เฮ้าส์เติบโตค่อนข้างมาก

015

อย่างไรก็ตาม สำหรับลลิล พร็อพเพอร์ตี้ สินค้าหลักยังคงเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ โดยเน้นเจ้าตลาดระดับ B+ ราคาขายต่อยูนิตเฉลี่ยที่ 4-7 ล้านบาท โดยบ้านเดี่ยวเริ่มต้นที่ 4 ล้านบาทไปถึงสูงสุดที่ 10 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์อยู่ในระดับราคา 2-3 ล้านบาท ยังคงเป็นตลาดใหญ่กลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลาง ซึ่งเป็นฐานตลาดได้รับผลกระทบจากภาวะหนี้ครัวเรือน ที่ล่าสุดปรับลดเล็กน้อยมาอยู่ที่ 77.8% เป็นปัจจัยหนึ่งที่บริษัทกังวล เพราะจะส่งผลถึงยอดการปฏิเสธสินเชื่อ ซึ่งลูกค้าของลลิลก็มีสัดส่วนยอดปฏิเสธสินเชื่อ อยู่ประมาณ 20-25% ถือว่าอยู่ในระดับปานกลางไม่สูงมาก โดยทางบริษัทได้แก้ปัญหาโดยให้ลูกค้าผ่อนดาวน์ผ่านธนาคาร เพื่อเดินบัญชีให้ธนาคารเห็นว่า มีความสามารถผ่อนได้จริง จนทำให้ได้รับสินเชื่อในที่สุด

“คนชั้นกลาง คนรุ่นใหม่ ตอนนี้ต้องยอมรับว่ามีปัญหาหนี้บัตรเครดิตหลายใบ ที่มียอดโชว์ในเครดิตบูโรว์ ทำให้แบงก์ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ แต่หากสามารถแสดงยอดเดินบัญชีผ่อนบ้านได้อย่างต่อเนื่อง  ทำให้แบงก์ผ่อนปรนได้” นายชูรัชฏ์ กล่าว

ในส่วนของลลิล ได้ประเมินทิศทางเศรษฐกิจไว้แล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี จึงมีแผนสอดรับกับสถานการณ์ได้ถูกต้อง ส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการเติบโตดี โดยในไตรมาส 2/2561 บริษัทมียอดรับรู้รายได้รวม 1,119 ล้านบาท ขยายตัวราว 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 มีกำไรสุทธิ 219  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 29% นับเป็นการเติบโตในอัตราที่สูงกว่า 25% ต่อเนื่องตลอดช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา

โดยในครึ่งปีแรก 2561 บริษัทสามารถทำยอดขายใหม่ได้กว่า 2,800 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ มั่นใจว่าปีนี้สามารถทำได้ดีกว่าเป้าที่ตั้งไว้

ส่วนผลประกอบการรอบ 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทมียอดรับรู้รายได้ที่ 2,082 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิที่ 402 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 41% จากปีก่อนหน้า ถือเป็นการขยายตัวติดต่อกันมาตลอด 3 ปี

cara model

ด้านโครงสร้างเงินทุน แม้ว่าบริษัทมีการขยายโครงการอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงบริหารจัดการรอบการดำเนินธุรกิจได้เร็ว ทำให้มีเงินหมุนเวียนมาใช้ในการขยายธุรกิจ และทำให้สัดส่วนหนี้ต่อทุน(D/E Ratio)ลดลง โดยสิ้นไตรมาส 2 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.76 เท่า ปรับลดลงจากสิ้นไตรมาสแรก ซึ่งอยู่ที่ 0.82 เท่า  ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยหนี้ต่อทุนของตลาดอสังหาฯในภาพรวม ซึ่งอยู่ที่ 1.40 เท่า ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง และศักยภาพในการขยายธุรกิจได้ดี

ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจครึ่งปีหลัง นายชูรัชฏ์ เผยว่าในอีก 2 ไตรมาสที่เหลือ ลลิลจะเปิดโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท โดยเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 2 โครงการภายในเดือนสิงหาคมนี้ และในช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะเปิดโครงการใหม่อีกราว 4 โครงการ

นอกจากนี้ เตรียมแผนรุกตลาดมากขึ้น ตามแนวโน้มให้ให้น้ำหนักทั้งการทำ Online Marketing และ Offline Marketing โดยเลือกสื่อและเครื่องมือที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าและทำเล ตลอดจนมีการเพิ่มงบประมาณ e-Marketing เนื่องจากเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้เฉพาะเจาะจง ซึ่งช่วยให้การใช้งบการตลาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมั่นใจว่าทั้งปี 2561 บริษัทจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย ด้วยยอดรับรู้รายได้ที่ตั้งไว้ 4,000 ล้านบาท

Avatar photo