สหรัฐผ่านกฎหมายฉบับใหม่ ที่ให้รัฐบาลมีอำนาจมากขึ้นในการทบทวน หรืออาจเข้าไปขัดขวาง การทำข้อตกลงทางธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทต่างชาติ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ได้ลงนามในกฎหมายฉบับใหม่ดังกล่าว ที่เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการใช้จ่ายทางทหารในวงกว้าง
กฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความวิตกของสหรัฐในเรื่องที่ว่า บริษัทจีนกำลังใช้การลงทุน และเข้าถือครองกิจการ เป็นช่องทางในการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ อันเป็นความกังวลที่อยู่เบื้องหลังการจัดเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ต่อสินค้าจีนเช่นกัน ซึ่งสมาชิกสภาคองเกรสทั้งฝั่งรีพับลิกัน และเดโมแครต ต่างสนับสนุนกฎหมายฉบับใหม่นี้
ทั้งนี้ กฎหมายฉบับนี้ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่หลายประเทศ รวมถึง สหราชอาณาจักร กำลังมองหาวิธีการต่างๆ ที่จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการทำข้อตกลงทางธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทต่างประเทศ โดยพุ่งเป้าไปที่บริษัทจากจีนเป็นหลัก
รายละเอียดกฎหมาย
กฎหมายฉบับใหม่เพิ่มรูปแบบข้อตกลง ที่จะเข้าข่ายการตรวจสอบจากคณะกรรมาธิการเพื่อการลงทุนของต่างประเทศในสหรัฐ (ซีเอฟไอยูเอส) เพื่อพิจารณาว่า มีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติหรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการส่งออก เปิดทางให้สหรัฐสามารถตรวจสอบการทำข้อตกลงในต่างประเทศ อย่าง การร่วมลงทุนได้
แม้จะไม่ได้มีการระบุชื่อจีนอย่างเจาะจง แต่กฎหมายฉบับนี้ กำหนดให้ซีเอฟไอยูเอส พิจารณาว่า ข้อตกลงที่ทำขึ้นนั้น เกี่ยวข้องกับ “ประเทศที่มีความกังวลเป็นพิเศษว่า จะมีการดำเนินการ หรือมีการประกาศเป้าหมายทางกลยุทธ์ ที่จะเข้าถือครองเทคโนโลยี หรือโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างมาก” หรือไม่
การลงทุนลด
แม้จะไม่มีการประกาศกฎหมายฉบับใหม่ออกมา แต่การที่สหรัฐเพิ่มการตรวจสอบข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจีน ก็ได้ส่งผลกระทบต่อความต้องการเข้ามาลงทุนในดินแดนอเมริกันไปแล้ว
ข้อมูลจากโรเดียม กรุ๊ป บริษัทวิจัยสหรัฐ แสดงให้เห็นว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทจีนบรรลุข้อตกลงในสหรัฐคิดเป็นมูลค่าราว 1,800 ล้านดอลลาร์ ต่ำสุดในรอบ 7 ปี และลดลงมากกว่า 90% จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2560
การลดลงข้างต้น ยังเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลปักกิ่ง ควบคุมกิจกรรมของบริษัทท้องถิ่นในต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการหดตัวในการลงทุนจากต่างประเทศในตลาดโลกเมื่อปีที่แล้ว
โรเดียม พบด้วยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เจ้าหน้าที่คุมกฎระเบียบสหรัฐได้เข้าขวางการทำข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจีน คิดเป็นมูลค่าราว 2,000 ล้านดอลลาร์ รวมถึง การขายบริษัทโอนเงินสหรัฐ ให้กับแอนท์ ไฟแนนเชียล หน่วยงานชำระเงินดิจิทัลในเครืออาลีบาบา และการเข้าซื้อสกายบริดจ์ แคปิตัล ของเอชเอ็นเอ
โดยรวมแล้ว ยอดการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐ ร่วงลง 32% จากระดับปี 2559-2560 ที่มียอดการลงทุนทั้งสิ้น 260,000 ล้านดอลลาร์
ที่มา: BBC
