ปักกิ่ง – เชื้อไวรัสระบบทางเดินหายใจหลายสายพันธุ์ อาทิ ไวรัสไข้หวัดใหญ่และโรคซาร์ส (SARS) มักแพร่ระบาดรุนแรงในเดือนที่อากาศหนาวเย็นและเลือนหายไปในฤดูร้อน แต่การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) จะมีรูปแบบเฉกเช่นนั้นหรือไม่?
ปัจจุบัน คณะผู้เชี่ยวชาญยังไม่พบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เพียงพอจะยืนยันว่าความร้อนและความชื้นจะชะลอการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2)
“ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สามารถแพร่กระจายได้ในทุกพื้นที่ รวมถึงพื้นที่ที่มีสภาพอากาศร้อนและชื้น” เป็นข้อความส่วนหนึ่งในรายงานของ องค์การอนามัยโลก (WHO) เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งบ่งชี้ว่า อุณหภูมิสูงไม่สามารถลดทอนการแพร่ระบาดได้
ทอม คอตซิมโบซ์ (Tom Kotsimbos) รองศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยโมนาชของออสเตรเลีย และ แพทย์ระบบทางเดินหายใจ ประจำโรงพยาบาลอัลเฟร็ด (Alfred Hospital) ในเมืองเมลเบิร์น เปิดเผยกับ เดอะการ์เดียน (The Guardian) หนังสือพิมพ์สหราชอาณาจักรว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นไวรัสเกิดใหม่ ดังนั้น “มิได้หมายความว่ามันจะมีลักษณะเหมือนไวรัสสายพันธุ์อื่น”
“ผมคิดว่าน่าสนใจตรงที่โรคโควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว — ทั้งซีกโลกเหนือและใต้” คอตซิมโบซ์กล่าว พร้อมเสริมว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่า ‘ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่ได้พึ่งพาอุณหภูมิในการระบาดหรือการพึ่งพานั้นอาจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญต่อการแพร่ระบาด’
ขณะเหล่านักวิจัยพยายามขุดค้น ‘ความสัมพันธ์ระหว่างการระบาดของโรคโควิด-19 กับอุณหภูมิ’ มีนักวิจัยบางส่วนได้เผยข้อสรุปชวนถกเถียงออกมา
บทความใน วารสารการแพทย์ เดอะ แลนเซต (The Lancet) เมื่อวันที่ 2 เม.ย. รายงานว่า คณะนักวิจัยจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮ่องกงของจีน ค้นพบความสัมพันธ์เชิงผกผันระหว่างอุณหภูมิและความคงตัวของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยระบุว่า ‘ไวรัสฯ มีความคงตัวสูงเมื่ออยู่ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส และมีระยะฟักตัวนานสูงสุด 14 วัน’ และ ‘เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 70 องศาเซลเซียส ระยะเวลาในการทำให้ไวรัสฯ หมดฤทธิ์จะลดลงเหลือ 5 นาที’
ในขณะที่บทความใน วารสารยูโรเปียน เรสพิราทอรี (European Respiratory) เมื่อวันที่ 8 เม.ย. กล่าวว่า คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟู่ตั้นของจีน ค้นพบ ‘ความเชื่อมโยงระหว่างการระบาดของโรคโควิด-19 กับอุณหภูมิหรือรังสียูวีในเมืองต่างๆ ของจีนเพียงเล็กน้อย’
คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น ทำการวิเคราะห์ด้วยหลักเกณฑ์ ดังนี้
1. จำนวนผู้ป่วยสะสมใน 224 เมือง ซึ่งแต่ละเมืองมีผู้ป่วยสะสมไม่น้อยกว่า 10 ราย เมื่อนับถึงวันที่ 9 มี.ค.
2. ค่าเฉลี่ยที่ผู้ป่วยหนึ่งรายจะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นในประชากรที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน (basic reproduction number) ของ 62 เมืองที่มีจำนวนผู้ป่วยมากกว่า 50 ราย เมื่อนับถึงวันที่ 10 ก.พ.
3. ข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยา อาทิ อุณหภูมิ ความชื้น และรังสียูวี
ก่อนได้ข้อสรุปว่า ‘อุณหภูมิโดยรอบไม่ได้ส่งผลกระทบอันมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่’ และ ‘นี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการระบาดของโรคเมอร์ส (MERS) ในคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งยังคงตรวจพบผู้ป่วยแม้อุณหภูมิในพื้นที่จะสูง 45 องศาเซลเซียส’
อย่างไรก็ดี จูอี้ฟาง ศาสตราจารย์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตลอสแอนเจลิส (UCLA) ของสหรัฐฯ กล่าวว่า ‘ข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างไวรัสฯ กับอุณหภูมินั้นมีอยู่จำกัด ทำให้เราไม่อาจสรุปแน่ชัดว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นพิสูจน์ยืนยันได้ทั่วโลก’
ขณะเดียวกันจูเสริมว่าไม่อาจตัดความเป็นไปได้ว่าอากาศร้อนที่กำลังจะมาเยือนซีกโลกเหนืออาจลดการแพร่ระบาดของไวรัสฯ และยังคงไม่มีข้อสรุปว่าโรคโควิด-19 จะกลับมาระบาดหนักในช่วงฤดูหนาวและกลายเป็นโรคระบาดตามฤดูกาลหรือไม่
ที่มา: สำนักข่าวซินหัว
- ช็อก! นักวิทย์พบ ‘ไวรัสโคโรนา’ ทนความร้อนถึง 60 องศา เตือนบุคลากรแพทย์ระวังสูงสุด
- พบ ‘ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่’ เพิ่มอีก 6 ชนิด ใน ‘ค้างคาวเมียนมา’
- ซุปค้างคาว? อาวุธชีวภาพ? สื่อหลักโต้ ‘ข่าวโคมลอยโคโรนาบนโลกโซเชียล’ ด้วยข้อเท็จจริง