ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการ นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบให้ไทยยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วมเป็น ภาคีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (CPTPP) ในการประชุมครม. วันพรุ่งนี้ (28 เม.ย.)นั้น
โลกออนไลน์ได้เกิดกระแสคัดค้านการเคลื่อนไหวดังกล่าว และได้มีการชุมนุมออนไลน์ “Mob From Home” ขึ้นมา ท่ามกลางเสียงกล่าวหาว่า ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลดำเนินการลักไก่ ฉวยโอกาสในช่วงเวลาที่ประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤติจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เสนอเรื่องดังกล่าว ซึ่งไม่เพียงแต่ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ นักการเมืองฝ่ายค้าน และประชาชนทั่วไปเท่านั้น แม้กระทั่งหน่วยงานรัฐอย่างกระทรวงสาธารณสุข ก็แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมใน CPTPP
สธ.ไม่สนับสนุน
โดยวันนี้ (27 เม.ย.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้ผู้บริหารกระทรวง ทำหนังสือชี้แจงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากไทยตัดสินใจเป็นสมาชิก CPTPP โดยให้มีการระบุให้ชัดว่า กระทรวงสาธารณสุข ไม่สนับสนุนให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก CPTPP หลังจากที่ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารของกระทรวง และผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เพื่อพิจารณาผลกระทบในเรื่องนี้แล้ว
“ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ และจะนำเสนอข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเต็มไปด้วยข้อห่วงใยและความกังวลที่จะมีผลกระทบต่อระบบการผลิตยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ จะต้องนำมาใช้ดูแลรักษาชีวิตและสุขภาพของคนไทย ให้ที่ประชุมครม.วันที่ 28 เมษายน ทราบ แต่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าครม.จะพิจารณาตัดสินใจอย่างไร แต่ข้อห่วงใยและความกังวลใจของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งเรื่องผลกระทบต่อการผลิตยา เป็นความมั่นคงด้านสาธารณสุขไทย น่าจะเป็นข้อมูลสำคัญ สำหรับการพิจารณาของครม.”
‘จุรินทร์’ ยอมถอน
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊กเพจ FTA Watch ซึ่งเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวในเรื่องการค้าเสรี ก็ได้โพสต์ข้อความว่า ด่วน..ชุมนุมออนไลน์ได้ผล !
แหล่งข่าวใกล้ชิดกับนาย จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แจ้งต่อเอฟทีเอ ว็อทช์ว่า ได้สั่งถอนวาระเรื่อง CPTPP ออกจากวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2563 แล้ว
พิธาร่ายยาว ‘เสียอธิปไตยศก.’
ในจำนวนบุคคลที่ออกมาคัดค้านเรื่องนี้ ยังรวมถึง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กเพจ “Pita Limjaroenrat – พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เรียกร้องให้รัฐบาลฟังเสียงประชาชน และพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ในการเข้าร่วมข้อตกลง ที่นายพิธา ระบุว่าเป็นการยอมให้ประเทศไทยเสียอํานาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจ โดยมีเนื้อหาว่า
“ก้าวไกล” เบรก CPTPP “อุ้มทุนหนา ฆ่าทุนน้อย” พิจารณาดีๆ-อย่าได้ไม่คุ้มเสีย
สืบเนื่องจากการที่ ครม.กำลังจะหารืออนุมัติให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก CPTPP หรือ Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก) ซึ่งจะทำให้มีผลกระทบหลายอย่าง โดยรวมแล้วเห็นได้ชัดว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย และเรื่องนี้ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน รัฐควรต้องฟังเสียงประชาชนมากกว่านี้ ใช้เวลาพิจารณาให้รอบคอบ
ประการแรกคือ ประเทศสหรัฐอเมริกาถอนตัวออกไปแล้ว หากไทยเข้า CPTPP ตลาดที่ไทยจะได้เพิ่มหากเป็นสมาชิก คือ ประเทศเม็กซิโกและแคนาดาเท่านั้น ขณะที่อีก 9 ประเทศสมาชิกที่เหลือนั้น ไทยมีข้อตกลงการการค้าเสรี FTA แล้วทั้งหมด ผมอยากให้พิจารณาว่าเพราะเหตุุใดไทยถึงต้องเข้าร่วมในลักษณะนี้ ควรจะพิจารณาให้ถี่ถ้วน ว่าจะดีกว่าหรือไม่ถ้าทำ bilateral agreement กับเม็กซิโกและแคนาดา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องขี่ช้างจับตั๊กแตน
สมคิด รองนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แจงว่า หากไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP คาดว่าจีดีพีจะเพิ่มขึ้น 0.12% ซึ่งคิดเป็นมูลค่าน้อยมาก เทียบกับการเข้าเป็นสมาชิกครั้งอื่นๆ ผมคิดว่าครั้งนี้จะได้ไม่คุ้มเสีย การดึงจีดีพีขึ้นมีหลายวิธี ตกลงกันได้หลายแบบ ไม่ควรจะต้องยอมให้ประเทศไทยเสียอํานาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจถึงขั้นนี้
หากเข้าไปดูในรายละเอียดแล้ว มีข้อน่ากังวลเกี่ยวกับการผูกขาดเมล็ดพันธุ์ ความหลากหลายทางชีวภาพ ต้นทุนของเกษตรกร ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางยา รวมถึงว่าการที่นักลงทุนต่างชาติจะสามารถฟ้องรัฐบาลไทยผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการ และอื่นๆ อีกมากมาย
ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ไม่มีข้อบังคับให้รัฐบาลต้องการขออนุมัติกรอบเจรจาจากรัฐสภาเพื่อไปเจรจาทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ขาดการตรวจสอบจากนิติบัญญัติ ตัดการมีส่วนร่วมของประชาชน มีเพียงกลไกให้รัฐสภาเห็นชอบเมื่อเจรจาแล้วเสร็จ เพื่อลงนามรอการอนุมัติตามเท่านั้น ทำให้เรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ จะได้รับการอนุมัติไปง่ายๆ นี่คือหนึ่งในปัญหาที่เป็นรูปธรรม แสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญนี้มีปัญหาอย่างไร
ผมและพรรคก้าวไกล ขอย้ำว่ารัฐควรต้องมารับฟังเสียงจากภาคประชาชนให้มาก และเปิดให้สภาได้ถกเถียงกันในรายละเอียด ในสถานการณ์ชุลมุนเช่นนี้ รัฐอย่าฉวยโอกาสเพื่อที่จะได้ “อุ้มทุนหนา ฆ่าทุนน้อย”
ดาหน้าต้าน ‘CPTPP’
นอกจากนี้ ยังมีบุคคลมีชื่อเสียงจำนวนมากที่ออกมาคัดค้านเรื่องนี้ อาทิ ผศ.ดร.สมชาย รัตนชื่อสกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต ที่ระบุว่า “CPTPP” คือ ลูกกวาดสอดไส้ไซยาไนด์ พร้อมชี้ว่า คนที่จะเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส หากไทยเข้าร่วมข้อตกลงนี้ คือ “เกษตรกรไทย”
ขณะที่ อาจารย์ยักษ์ หรือ นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้ก่อตั้งมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Wiwat Salyakamthorn ระบุว่า “กสิกรรมธรรมชาติทั่วประเทศร่วมคัดค้าน” พร้อมแชร์ โปสเตอร์ซึ่งเผยแพร่โดยมูลนิธชีววิธี หรือไบโอไทย มีข้อความว่า“เก็บรักษาพันธุ์พืชไปปลูกต่อ ไม่ใช่อาชญากรรม หยุด UPOV1991″, ” คัดค้านการเข้าร่วม CPTPP เพื่อประโยชน์บรรษัท ทำลายความมั่นคงทางอาหาร”
ก่อนหน้านี้ นพ.มงคล ณ สงขลา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็ได้เฟซบุ๊กไลฟ์ วิจารณ์รัฐบาลว่าเป็นรัฐบาลสิ้นคิด ไม่เคยทำประโยชน์ จะอนุมัติให้ประเทศไทยไปเข้า CPTPP ถือเป็นการทำร้ายประชาชนและประเทศชาติโดยตรง