รัฐบาลเตรียมผ่อนปรนเปิดกิจการบางประเภท “ร้านอาหารขาดเล็ก-ร้านตัดผม-ตลาดสด” พร้อมประเมินผลทุก 14 วัน ‘สมช.’ เผย ประชาชนเกิน 70% ชอบเคอร์ฟิว
รายงานข่าวจากที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แจ้งว่าช่วงบ่ายวันนี้ (28เม.ย.) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการประชุมเพื่อร่วมพิจารณาและไปจัดทำข้อกำหนดว่าจะมีการผ่อนปรนในเรื่องใดบ้าง
เริ่มจาก กิจการสีขาว หรือมีความเสี่ยงน้อยไปก่อน เมื่อได้ความชัดเจนจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันพรุ่งนี้ (28 เม.ย.) จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะลงนามประกาศต่อไป คาดว่าจะเริ่มได้ในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม หรือตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคมนี้ เช่น ร้านอาหารขนาดเล็ก ที่ไม่ติดแอร์ ตลาดสด ตลาดนัด ร้านตัดผม และห้างสรรพสินค้า จะมีรูปแบบกำหนดให้ว่าหากเปิดกิจการแล้วจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง โดยมาตรการผ่อนปรนที่จะออกมาจะใช้ทั่วประเทศ แบ่งตามประเภทกิจการ เป็นการทยอยปลดล็อกไปทีละขั้น เมื่อผ่อนปรนแล้วจะมีการประเมินผลทุก 14 วัน
ส่วนสถานบันเทิง จะพิจารณา หลังจากผ่อนปรนกลุ่มประเภทกิจการที่เสี่ยงน้อยไปแล้ว โดยจะทยอยเปิดกลุ่มเสี่ยงน้อยที่สุด เสี่ยงปานกลาง ไปจนถึงกลุ่มที่เสี่ยงมาก ตามลำดับโดยกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ที่จะดูแลทั่วประเทศ หากจังหวัดไหนผ่อนปรนแล้ว และประเมินผลไม่ผ่านก็จะกลับมาเข้มอีก ด้านมาตรการเคอร์ฟิว ในแต่ละพื้นที่ให้ยึดตามประกาศพระราชกำหนดฉุกเฉินคือเวลา 22.00 น.-04.00 น. ทั่วประเทศ
รายงานข่าวแจ้งว่า กระทรวงสาธารณสุขยังเป็นห่วงผลกระทบ จากมาตรการค้นหาเชิงรุก ที่ยังมีพบผู้ติดเชื้อในพื้นที่ต่างๆ เช่น ศูนย์กักกันแรงงานที่ จังหวัดสงขลา จึงมีการสนับสนุนให้ค้นหาเชิงรุกต่อ โดยเพิ่มกลุ่มของโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไป เมื่อมีการผ่อนปรนให้กลับไปทำงานก็อาจจะมีความเสี่ยงจากการรวมกลุ่มกันเกิดขึ้น
โดยนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำเรื่อง สาธารณสุขนำเศรษฐกิจ โดยให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดต่ำลงอย่างนี้ โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการเว้นระยะห่าง การสวมหน้ากากอนามัย
พร้อมกำชับให้กระทรวงมหาดไทยเข้าไปช่วยดูเรื่องการจัดระเบียบการแจกสิ่งของต่างๆ ให้เป็นไปตามมาตรการ ให้มีการเว้นระยะห่างเพื่อป้องกันความเสี่ยงในการติดเชื้อ แต่ก็เข้าใจถึงปัญหาเรื่องเศรษฐกิจขณะนี้ จึงผ่อนปรนมาตรการลง
ในขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อรักษาตัวอยู่ไม่ถึง 300 คน จากจำนวน 2,000 กว่าคน ในเวลานี้จำนวนผู้ติดเชื้อและจำนวนผู้รักษาหายใกล้เคียงกัน ระบบสาธารณสุขสามารถรองรับได้แต่ต้องไม่ให้มีการติดเชื้อเพิ่ม
สำหรับมาตรการเคอร์ฟิว ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ชี้แจงผลการดำเนินงานและการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่พบว่า 70% ขึ้นไป เห็นด้วยให้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเคอร์ฟิว โดยเห็นชอบให้ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 30 วัน
รายงานข่าวจากที่ประชุมศบค ระบุว่าในที่ประชุมเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เสนอแนวทางการผ่อนปรนภายหลังการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ศบค. มีอำนาจในการกำหนดการผ่อนปรนการบังคับใช้กฎหมายในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 เพื่อให้เกิดมาตรฐานของประเทศ และมีความเป็นเอกภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ตลอดจน มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ และผู้ว่าราชการทุกจังหวัด กำหนดรายละเอียดการดำเนินการ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพื้นที่ตามสภาพปัญหา ความพร้อมของเจ้าหน้าที่ และการได้รับความร่วมมือจากประชาชน โดยคำนึงถึงหลักการพิจารณาที่สำคัญ คำนึงถึงปัจจัยด้านการสาธารณสุขเป็นหลัก
สำหรับมาตรการ Work From Home ให้กำหนดเป็นมาตราการที่ยังดำเนินต่อไปในด้านการศึกษา ยังคงต้องให้เป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 คือให้สถานศึกษาเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 จากวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 แต่ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมรองรับ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการเรียนการสอนของเยาวชน
- ด่วน! ขยายมาตรการห้ามทั่วโลกบินเข้าไทยออกไปอีก 1 เดือน สิ้นสุด 31 พ.ค.
- ‘ศบค.’ เตรียมเสนอ ‘ครม.’ เลื่อน ‘วันหยุดนักขัตฤกษ์’ ของเดือนพ.ค.ทั้งหมด
- วนอีก! ที่ประชุม ‘ศบค.’ ประกาศต่ออายุเคอร์ฟิวอีก 1 เดือน