Finance

เปิดพอร์ตหุ้น ‘เสี่ยโนอาร์-ครอบครัว’ เฉียด 8 พันล้าน

 

sett

ประเดิมต้นปี 2560 คงไม่มีใครไม่รู้จัก “กำพล วิระเทพสุภรณ์” หรือ เสี่ยโนอาร์ เจ้าของสถานบริการอาบอบนวด วิคตอเรีย ซีเครท หลังถูกศาลอนุมัติจับในความผิดฐานกระทำความผิดร่วมกันค้ามนุษย์ โดยเป็นผู้แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากบุคคล และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยการแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณี การแสวงหาประโยชน์ทางเพศในรูปแบบอื่น จึงทำให้เป็น “ทอล์คออฟเดอะทาวน์” เรื่องแรกๆของปีนี้

ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิด 25 ราย กรณีร่วมกันสร้างราคาหลักทรัพย์ หรือปั่นหุ้น 6 บริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NEWS บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL บริษัทโพลาริส แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) หรือ หรือ POLAR บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NBC บริษัท เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NINE และใบสำคัญแสดงสิทธิ์ชุดที่ 1 หรือ NINE-W1 ด้วยการฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้ชำระค่าปรับทางแพ่งจำนวนกว่า 890 ล้านบาท พร้อมรายงานการดำเนินการดังกล่าวไป ยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง.เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

หนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกก.ล.ต.ฟ้องร้องคือ กำพล และธนพล วิระเทพสุภรณ์ หรือบุตรชาย เนื่องจากไม่ยินยอมเสียค่าปรับต่อสำนักงานก.ล.ต. หลังจากที่คณะกรรมการพิจารณาทางแพ่งได้สั่งเปรียบเทียบปรับกรณีกรณีสร้างราคาหุ้นบริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NEWS ขณะเกิดเหตุชื่อบริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) จำกัด (มหาชน) หรือ SLC และกรณีสร้างราคาหุ้นบริษัทโพลาริส แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) หรือ POLAR ขณะเกิดเหตุชื่อบริษัท วธน แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) หรือ WAT

จากสำรวจข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า หากย้อนไปพิจารณาการลงทุนของครอบครัวของเสี่ยกำพล ซึ่งเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยนานกว่า 10 ปี ซึ่งเริ่มจาก นิภา วิระเทพสุภรณ์ ภรรยา มีชื่อปรากฏในการถือหุ้นบริษัทจดทะบียนตั้งแต่ปี 2551-2556 และธนพล วิระเทพสุภรณ์ บุตรชาย ตั้งแต่ปี 2556-2560 ซึ่งมีการถือครองหุ้นจำนวน 18 บริษัท และทั้งครอบครัว มีมูลค่าการลงทุนรวมกันเกือบ 8 พันล้านบาท ขณะที่รับเงินปันผลของหุ้นที่ถือลงทุนประมาณ 80 ล้านบาท

สำหรับการลงทุนของ “กำพล” จะเห็นมีชื่อปรากฏในโครงสร้างผู้ถือหุ้น 15 บริษัท ในช่วงเวลาปี 2556-2561 ซึ่งมีมูลค่าพอร์ตลงทุนรวมช่วง 5 ปี ประมาณ 7.37 พันล้านบาท ขณะที่หุ้นที่ถือลงทุนได้จ่ายเงินปันผลให้กับบุคคลดังกล่าวรวมกว่า 80.55 ล้านบาท ซึ่งไม่นับรวมหุ้นปันผลอีก

ขณะที่หุ้นที่เคยผ่านเข้าไปอยู่ในพอร์ตของ “กำพล” ประกอบด้วย หุ้นนิวส์ (NEWS) ,ช.การช่าง (CK),คริสเตียนี(CNT),อีเทอเนิล เอนเนอยี (EE), ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น (TCMC), เอเจ แอดวานซ์ (AJA), อควา คอร์เปอเรชั่น (AQUA),จี เจ สตีล (GJS) ,แกรมมี่ (GRAMMY),ตงฮั้ว (TH) ,เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน (BWG), ซีเค พาวเวอร์ (CKP),มั่นคงเคหะการ(MK) สยามราช (SR) ,โรงพิมพ์ตะวันออก (EPCO) และแสนสิริ (SIRI)

วิคตอเรีย ซีเครท

ในแต่ละปีจะมีมูลค่าพอร์ตลงทุนที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับราคาหุ้นแต่ละช่วงเวลา เมื่อคำนวณจากราคาเฉลี่ยรายปี ของหุ้นแต่ละตัว จะได้มูลค่าพอร์ตลงทุนประกอบด้วย ปี 2556 มูลค่าพอร์ตลงทุน รวมอยู่ที่ 547 ล้าบาท ซึ่งลงทุนในหุ้น 4 บริษัท ปี2557 มูลค่าพอร์ตลงทุนพุ่งสูงสุด 2.2 พันล้านบาท และลงทุนหุ้น 7 บริษัท ปี 2558 มีมูลค่าพอร์ตลงทุนอยู่ที่ 1.87 พันล้านบาท ลงทุนหุ้น 6 บริษัท ปี 2559 มูลค่าพอร์ตลงทุน 1.16 พันล้านบาท ลงทุนหุ้นของ 6 บริษัท ปี 2560 มูลค่าพอร์ตลงทุน 1.1 พันล้านบาท ลงทุนหุ้น 4 บริษัท และในปี 2561 มูลค่าพอร์ตลงทุนเหลือ 465 ล้านบาท ลงทุนหุ้น 2 บริษัท ซึ่งยังมีอีก 2 บริษัทที่ถือในปี 2560 แต่ยังไม่ปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้น
จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นว่า “กำพล” จะนิยมลงทุนหุ้นบริษัทเดิมๆ ใน 15 บริษัท และจะลดสัดส่วนการถือครองจนไม่เหลือการถือครอง เมื่อหุ้นที่ถือลงทุนมีการเพิ่มทุน ขณะเดียวกันก็จะขายหุ้นออกมาหรือลดสัดส่วนการถือหุ้นหลังรับเงินปันผลไปแล้ว ซึ่งมูลค่าเงินปันผลรับในแต่ละปีประมาณ 10-20 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน “ธนพล วิระเทพสุภรณ์” หรือบุตรชาย ได้เข้ามาลงทุนในช่วงเวลาเดียวกันคือปี 2556-2560 โดยมีมูลค่าพอร์ตลงทุนรวม 366 ล้านบาท เริ่มจากปี 2556 มูลค่าพอร์ตลงทุนอยู่ที่ 19.12 ล้านบาท ถือหุ้นนิวส์เพียงบริษัทเดียวต่อมาในปี 2557 มูลค่าพอร์ตลงทุน 25.2 ล้านบาท ถือหุ้นนิวส์ และหุ้นอควาฯเพิ่ม ในปี 2558 มูลค่าพอร์ตลงทุนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 239 ล้านบาท ถือหุ้นบริษัทแบตเตอร์ เวิลด์ (BWG) ปี 2559 มูลค่าพอร์ตลงทุน 55 ล้านบาท ถือหุ้นเอคิวเพียงบริษัทเดียวและต่อเนื่องมาถึงปี 2560 มูลค่าพอร์ตลงทุนลดลงเหลือเพียง 27.50 ล้านบาท

นอกจากนี้ พอร์ตลงทุนของ “นิภา วิระเทพสุภรณ์” ภรรยาของ กำพล มีการลงทุนตั้งแต่ปี 2551-2557 มีมูลค่ารวม 221 ล้านบาท โดยถือครองหุ้นเป็นบริษัทเดียวกัน กับ กำพล และบุตรชาย โดยถือครอง 4 บริษัท ประกอบด้วย แบตเตอร์ เวิลด์, ซีไอกรุ๊ป(CIG), เจนเนอรัล (GEL) และนิวส์ (NEW) ซึ่งแต่ละปีมีการลงทุนดังนี้ ในปี 2551 พอร์ตลงทุนมีมูลค่า 15.45 ล้านบาท ซึ่งลงทุนหุ้นแบตเตอร์ เวิลด์ ต่อมาในปี 2552 มูลค่าพอร์ตลงทุน 24.3 ล้านบาท ลงทุนหุ้นแบตเตอร์เวิลด์กับซีไอ ระหว่างนั้นไม่ปรากฏการถือหุ้นและกลับมามีชื่อปรากฏในปี 2556 มูลค่าพอร์ตลงทุน 29.71 ล้านบาท โดยลงทุนหุ้นนิวส์ และหุ้นเจนเนอรัล ต่อเนื่องมาถึงปี 2557 มูลค่าพอร์ตลงทุน 147.82 ล้านบาท ถือหุ้นแสนสิริ (SIRI) แห่งเดียว

จากข้อมูลดังกล่าว จะสังเกตเห็นได้ว่า การถือครองหุ้นของเสี่ยกำพล ภรรยา และบุตรชาย ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่เหมือนกันและในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้ไม่แปลกใจว่า ทั้งเสี่ยกำพล และบุตรชาย จึงมีชื่อติดอยู่ในกลุ่ม 1 ใน 25 คนที่ร่วมกันกระทำความผิดสร้างราคาหุ้น 6 บริษัทในครั้งนี้ จนถูกก.ล.ต.ส่งให้ดำเนินคดี และมีความเป็นไปได้ว่า คงไม่ได้จบเพียงเท่านี้

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight