การที่ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ ต่างประกาศหั่นค่าธรรมเนียม (ค่าฟี) ในระบบออนไลน์กันอย่างคึกคักสะท้อนให้เห็นว่าสงครามค่าฟีปะทุอย่างดุเดือด และไม่เพียงผลกระทบจะเกิดขึ้นกับสถาบันการเงินเท่านั้น ยังกระทบวงกว้างไปยังบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง โดยเฉพาะบริษัทดำเนินธุรกิจประเภทเป็นผู้ให้บริการรับชำรำะเงินค่าสินค้าและบริการ ผ่าน counter service อีกด้วย
นักวิเคราะห์ ประเมินผลกระทบความสามารถในการทำกำไรธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเชื่อว่าจำทำให้ประมาณการกำไรปีนี้ ลดลง 3-5% รวมทั้งบริษัทจดทะเบียนที่จะได้รับผลกระทบในครั้งนี้ด้วย เช่น บริษัทซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และ บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ FSMART ซึ่งเป็นผู้ให้บริการออนไลน์ เนื่องจากลูกค้าจะให้ความสนใจบริการออนไลน์ของแบงก์มากขึ้น และนักวิเคราะห์คาดว่าจะกระทบกับกำไรปีนี้ราว 5%
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เชื่อว่ากรณีฟรีค่าธรรมเนียมเป็นลบระยะสั้นต่อกลุ่มธนาคาร แต่จะดีในระยะยาว ซึ่ง 3 เหตุผลที่มีมุมมองเป็น “ลบช่วงสั้น” ต่อการประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียมธุรกรรมทางการเงินของ SCB, KBANK และ KTB ผ่าน Mobile application เพราะ
1) โปรแกรมดังกล่าวได้จำกัดวงเงินโอนข้ามธนาคาร และกำหนดกรอบเวลาโครงการจนถึงสิ้นปีนี้เท่านั้น
2) กรณีฐาน หากคงรายได้ค่าธรรมเนียมทรงตัวจากปีก่อนหน้า กระทบต่อประมาณการกำไรปี 2561 เพียง 3% แต่
3) ระยะยาวเรามองเป็นบวก เพราะแนวทางดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนสาขา ต้นทุนจัดการเงินสด และป้องกันภัยคุกคามจาก E-wallet และ National e-payment
4) ธนาคารสามารถเรียนรู้พฤติกรรมลูกค้าจากรายการดังกล่าว เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการ เพื่อสร้างรายได้ค่าธรรมอื่นมาชดเชยค่าธรรมเนียมส่วนนี้ได้
ฝ่ายวิจัย มีมุมมองเชิงลบต่อประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมธุรกรรมทางการเงิน (Transactional fees) เพราะส่งผลกระทบต่อรายได้ค่าธรรมเนียมบริการ (Net Fees and service income) ภายใต้สมมติฐานเบื้องต้นประเมินรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกรรมทางการเงินเป็นสัดส่วน 10% ของรายได้ค่าธรรมเนียมบริการทั้งหมด ผลกระทบนี้แบ่งเป็น 2 กรณี
กรณี 1 (กรณีฐาน) :รายได้ค่าธรรมเนียมบริการในปี 2561 ทำได้เพียงทรงตัวจากปีก่อนหน้า (เทียบกับสมมติฐานปัจจุบัน คาดรายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต 5% จากปีก่อน) ส่งผลกระทบต่อประมาณการกำไรปี 2561 ของ KTB, KBANK และ SCB ราว 3% และราคาเป้าหมายของหุ้น KTB ลดลง 0.06 บาท, KBANK ลดลง 1.00 บาท และSCB ลดลง 0.50 บาท
กรณี 2 (กรณีเลวร้ายสุด) : หากธุรกรรมธนาคารถูกทำผ่าน Mobile application ทั้งหมด และธนาคารไม่สามารถเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวได้ทั้งจำนวน ส่งผลกระทบต่อประมาณการกำไรปี 2561 ของ KTB และ KBANK ราว 10% ส่วน SCB กระทบราว 8% และราคาเป้าหมายของ KTB ลดลง 0.20 บาท, KBANK 3.00 บาท และ SCB 1.50 บาท
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยได้ให้นำหนักต่อ กรณีที่ 1 เป็นสำคัญ เพราะการใช้งาน Mobile application ณ ปัจจุบันกระจุกตัวในลูกค้าบางกลุ่ม อีกทั้งลูกค้าบางกลุ่มยังมีข้อจำกัดการใช้งาน หรือกังวลต่อความปลอดภัย Mobile application อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยมองว่าการยกเว้นค่าธรรมเนียมธุรกรรมเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าหันไปใช้งาน Mobile application มากขึ้น ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานของธนาคารทางอ้อม โปรแกรมนี้มองว่า SCB จะได้รับผลกระทบน้อยที่สุดเพราะก่อนหน้านี้ได้ทยอยยกเลิกค่าธรรมเนียมบางธุรกรรมไปบ้างแล้ว
บล.บัวหลวง รายงานว่า เมื่อแบงก์พาณิชย์ KTB KBANK SCB BBL ประกาศ งดค่า Transaction fee / คาดเริ่มมีผลกระทบต่อกำไรตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 นี้เป็นต้นไป ซึ่งน่าจะกระทบต่อการปรับประมาณการณ์กาไรสุทธิลงเฉลี่ย 4.5-5% อิงจากสัดส่วนรายได้ค่า Transaction fee ที่คิดเป็นประมาณ 6-7% บน Fee income แต่ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า หากลูกค้าหันมาใช้บริการผ่านระบบสังคมไร้เงินสดที่แบงก์หยิบยื่นให้ ในทุกรายการที่ลูกค้าจ่ายผ่านระบบ
ส่วนรายได้ที่เรียกเก็บจาก Vendor (เหมือนใช้ เครดิตการ์ด) จะมีต้นทุนแฝงในส่วนนี้ที่เรียกเก็บ Vendor ตกรายการละประมาณ 0.55 บ. ซึ่งจะมีผลบวกกลับเข้ามาที่ Transaction fee ในอนาคต และชดเชยรายได้ค่าบริการที่เสียใปในส่วนนี้ได้
นอกจากนี้ กลุ่มแบงก์ ยังมีปัจจัยกดดัน( Overhang) เรื่อง ค่าต๋ง (เ งินเก็บเข้ากองทุนฟื้นฟู 0.47% เป็น1%)ซึ่งตอนนี้ยังไม่ปรับขึ้น แต่อยู่ระหว่างรอการใช้ เพราะกฎหมายผ่านแล้ว (ไม่มีระยะเวลาที่ชัดเจน)ต่อเนื่องจนมาถึงการหันมาใช้บริการ Transaction fee บน Platform ของแบงก์แล้วไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
ดังนั้น หลายธนาคารประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียม e-payment ซึ่งรายได้ค่าธรรมเนียมจาก e-payment คิดเป็น 6-7% ของรายได้ค่าธรรมเนียมของ KBANK (จาก guidance ของธนาคาร) จากการประเมินหากอิงสัดส่วนเดียวกันสำหรับ SCB และ KTB คาดจะกระทบกำไรราว 5.2% และ KBANK กำไรลดลง4.4% และ SCB กำไรลง 2.3%
บล.เอเซียพลัส ประเมินผลกระทบว่าการไม่คิดค่าธรรมเนียมครั้งนี้ เป็นการเร่งให้เกิดธุรกรรมโอนเงิน Online มาแทนระบบ Oflline (เคาน์เตอร์, ตู้เติมเงิน) เร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้หากพิจารณามูลค่าการชำระเงินผ่านระบบการชำระเงินและช่องทางต่าง ๆ ของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ สิ้นปี 2559 มูลค่า 388 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.7% จากปี 2558 ซึ่งในจำนวนนี้พบว่าเป็นการโอนเงินข้ามธนาคารผ่านอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์เคลื่อนที่รวมกัน 38% เพิ่มขึ้นจากปี 2558ที่ 24.9% และคาดว่าจะขึ้นในปีถัดไป
ขณะที่กระทบต่อรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งคิดเป็น 5%ของรายได้ค่าธรรมเนียม ซึ่งรายได้ค่าธรรมเนียมคิดเป็น 30% ของรายได้รับสุทธิ แต่การลดค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะบั่นทอนการเติบโตของค่าธรรมเนียมโดยรวมและอาจจะกดดันการเติบโตระยะยาว
ทั้งนี้ ผลกระทบของการลดค่าธรรมเนียมธุรกรรม Online มิได้กระทบเฉพาะธนาคารเท่านั้น แต่กระทบจากผู้ให้บริการรับชำรำะเงินค่าสินค้าและบริการ ผ่าน counter service เช่น ผู้ให้บริการค้าปลีก ทั้ง CPALL, BIGC, รวมถึง FSMART ซึ่งเป็นผู้บริการให้บัตรเติมเงินและปัจจุบันยังให้บริการโอนเงินหรือ banking agent รายแรกของประเทศ โดยได้รับการแต่งตั้งจาก KBANK, KTB, BBL, SCB ซึ่งเน้นลูกค้าที่มิใช่คนทำงาน อาจจะแตกต่างจากลูกค้าธนาคารพาณิชย์ แต่เชื่อว่าน่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากรณีนี้ รวมถึงการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องการให้ non bank สามารถให้บริการธุรกรรม banking agent ได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทย หากได้รับการตอบรับจากธนาคารพาณิชย์ ระยะสั้นแนะนำชะลอการลงทุน FSMART