ธุรกิจเอสเอ็มอีกว่า 3 ล้านรายในปัจจุบัน ถือเป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนเศษฐกิจไทยเติบโต แต่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนี้ “เอสเอ็มอี” ต้องปรับมุมคิดและทิศทางการทำธุรกิจ ก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงที่เป็นความท้าทาย จากโลกใบใหม่ที่ไร้ขีด!!
นิตยสาร SME Thailand จัดสัมมนา “ผ่าทางตันธุรกิจด้วย The X-Treme Marketing เพื่อส่งเสริมเอสเอ็มอีทำธุรกิจและเติบโตไม่มีขีดจำกัด
นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่าในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มองว่าการผ่าทางตันของเอสเอ็มอีในยุคนี้ ต้อง การสร้างกรอบความคิดใหม่ จากเดิมที่เอสเอ็มอี มักมองการทำธุรกิจ เพื่ออยู่รอดเท่านั้น แต่วิธีคิดนี้จะทำให้ติดกับดักการสร้างอนาคตตั้งแต่เริ่มต้น
ดังนั้นหากต้องการสร้างอนาคตที่ดี จึงต้องเริ่มต้นตั้งแต่การปรับกระบวนการคิดก่อนว่า “การทำธุรกิจทุกวันนี้ ไม่ใช่ แค่เพียงการอยู่รอด แต่เป็นการสร้างความก้าวหน้า สร้างอนาคตใหม่ สร้างธุรกิจที่เติบโต ก้าวไปสู่สากล”
จากวิธีคิดดังกล่าว สสว.จึงออกแบบนโยบายส่งเสริมเอสเอ็มอี ด้วยการ “ทรานส์ฟอเมชั่นธุรกิจ” เพื่อให้ทันโลกเทคโนโลยี ปรับบิซิเนส โมเดล ให้สอดคล้องกับการทำธุรกิจ โดยใช้เทคโนโลยีสนับสนุนผู้ประกอบการ
การพาธุรกิจเอสเอ็มอีออกสู่ตลาดสากล เพราะเชื่อว่าเป็นโจทย์ธุรกิจที่อยู่ในหัวใจเอสเอ็มอีทุกราย
วันนี้การทำตลาดเฉพาะประเทศไทยคงไม่เพียงพออีกต่อไป ต้องก้าวสู่ตลาดโลก แต่การจะก้าวสู่ตลาดโลก จะต้องตามโจทย์ธุรกิจ เทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในทัน
ตัวอย่างที่ดีของการก้าวสู่ตลาดโลก จากการเข้าร่วมงาน Silicon Valley International Invention Festival 2018 (SVIIF 2018) ที่ซิลิคอน วัลเลย์ สหรัฐ ซึ่งเป็นเวทีประกวดผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดย สสว.ได้คัดเลือกผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย 3 ราย ที่ชนะโครงการประกวดสุดยอด SME แห่งชาติ ครั้งที่ 9 เป็นตัวแทนของประเทศไทยเข้าร่วมประกวดและจัดแสดงในงานดังกล่าว ร่วมกับผู้ประกอบการอีก 35 ประเทศ รวมงานแสดงสินค้านวัตกรรมกว่า 300 บูธ ถือเป็นเวทีที่ผู้ร่วมงานตั้งใจมาซื้อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ จากผู้ที่มาร่วมงานแสดงบูธ
พบว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้ง 3 ราย ได้รางวัลจากเวทีดังกล่าว จากการมาร่วมงานครั้งแรก คือ 1 รางวัลเหรียญเงิน คือ บริษัท กลัฟเท็กซ์ จำกัด กลุ่มธุรกิจสิ่งทอและแฟชั่น ผลงานประดิษฐ์คิดค้นกรรมวิธีการทอถุงมือโดยใช้เส้นใยเคฟลาร์ฟิลาเมนต์ พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ถุงมือกันไฟ
ส่วนอีก 2 รางวัลเหรียญทอง คือ บริษัท ควอลิตี้ พลัส เอสเทติค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผลงานปคิดค้นสารสกัด Purify Xanthone จากเปลือกมังคุด เพื่อผลิตภัณฑ์รักษาสิว ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากเปลือกมังคุด และ บริษัท คิง ฟรุทส์ จำกัด ผลงานคิดค้นผลิตภัณฑ์กล้วยหอมทอง รูปแบบผงชงดื่มรสกล้วยแปรรูป ผลิตภัณฑ์ energy drink
ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับรางวัลในเวทีซิลิคอน วัลเลย์ ถือเป็นตัวอย่างของการพัฒนานวัตกรรมที่ X-Treme Marketing ของเกษตรกรไทย เพราะ 1 ใน 2 ผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลเหรียญทอง คือ คิง ฟรุทส์ เป็นเกษตรไทยที่ปลูกกล้วยหอม และเห็นว่าการขายกล้วยหอมผลสดเป็นลูกไม่ใช่ธุรกิจที่ยั่งยืน จึงใช้งานวิจัยกล้วยหอมที่พบว่าสร้างพลังงานได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้จากนักกีฬาที่ลงแข่งขันกีฬาที่ต้องใช้พลังงาน จะรับประทานกล้วยหอมระหว่างการแข่งขัน เพื่อช่วยสร้างพลังงาน เอสเอ็มอีเกษตรกรไทยจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ เอ็นเนอจี้ ดริงค์ จากกล้วยหอม
“ถือเป็นตัวอย่างของเอสเอ็มอีเกษตกรไทยที่กล้าคิดแบบไร้ขีดจำกัด ตั้งแต่เริ่มต้นโดยไม่มองว่าจะทำได้หรือไม่ แต่เป็นการคิดสร้างสรรค์ที่ผ่านความร่วมมือของหน่วยงานรัฐต่างๆ เพื่อร่วมกันสนับสนุนให้สำเร็จ เพราะภาครัฐมีหน้าที่ส่งเสริมให้เอสเอ็มอีก้าวไปสู่ตลาดสากล”
ความสำเร็จของเอสเอ็มอีแต่ละรายไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เพราะถือเป็นเสน่ห์ของเอสเอ็มอี ที่สามารถสร้างความแตกต่างทางธุรกิจโดยไม่จำเป็นต้องซ้ำแบบใคร อีกทั้งสร้างเรียนรู้จากโลกเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน ขึ้นอยู่ว่าจะนำเทคโนโลยีใดมาใช้ประโยชน์กับธุรกิจอย่างไร
ชูแบรนด์ประเทศไทยดันเอสเอ็มอีสู่ตลาดโลก
นายสุวรรณชัย กล่าวว่าท่ามกลางการแข่งขันในตลาดโลก เอสเอ็มอีไทยต้องสามารถสร้างความน่าสนใจ (Attention) ในทุกตลาด เพราะในโลกการตลาดทุกคนต้องแสดง “จุดที่น่าสนใจ” ของสินค้าเพื่อดึงดูดผู้คน และต้องสื่อสารความน่าสนใจนั้นให้คนใจได้จริง
“หากต้องการผ่าทางตันธุรกิจด้วย The X-Treme Marketing จะต้องโฟกัสคีเวิร์ดที่ ความน่าสนใจ จะทำอย่างไรให้ธุรกิจมีความน่าสนใจ และสื่อสารอย่างไรให้น่าสนใจ ซึ่งความน่าสนใจนี้จะช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่จะช่วยกระจายความน่าสนใจของสินค้าสู่วงกว้างอีกทาง”
มองว่า “ประเทศไทย” หรือความเป็นไทย ถือเป็นอีกหนึ่งโฟกัส ที่สามารถนำพาเอสเอ็มอีไทยและสินค้าไทยก้าวสู่ตลาดโลกได้ เพื่อทำให้คำว่า “ประเทศไทย” มีศักยภาพผ่านคุณภาพที่ดี มีมาตรฐาน ได้รับการยอมรับและจุดสนใจจากคนทั่วโลก ที่ถือเป็นภารกิจสำคัญของเอสเอ็มอีไทย หากพัฒนาสินค้าจนมีความน่าสนใจ จากคนทั้งโลก
“เรากำลังจะประกาศศักดาให้เห็นว่าประเทศไทย เป็นแบรนด์ที่แข็งแรงและดีที่สุด หากคนไทยทุกคนร่วมมือกัน เพราะพลังเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย คือ เอสเอ็มอี”
ปัจจุบันธุรกิจเอสเอ็มอีไทยมีมูลค่า 42.8% ของจีดีพีประเทศ ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้วสัดส่วนอยู่ที่ 45-50% ดังนั้นเอสเอ็มอีไทยจะต้องไต่ระดับการเติบโตไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง สสว. จะกำหนดนโยบายยกระดับเอสเอ็มอี ที่จะมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนั้นการคิดแบบเดิม คือ ค่อยๆ เดิน หรือทำแบบเดิมๆ
จึงไม่เพียงพออีกต่อไป แต่เอสเอ็มอี ต้องกล้าคิดแบบไร้ขีดจำกัด ต้องท้าทายในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน โดยไม่ต้องห่วงว่าจะสำเร็จหรือไม่ เพราะไม่มีเอสเอ็มอี รายใด ไม่เคยทำเรื่องใหม่
ที่ผ่านมา เอสเอ็มอี เริ่มต้นธุรกิจจากสิ่งที่ไม่ได้รู้ลึกมาก่อนทั้งสิ้น สำหรับเอสเอ็มอีที่จะก้าวสู่ธุรกิจในวันนี้ มีเทคโนโลยีและการสนับสนุนจากภาครัฐที่จะช่วยให้ธุรกิจเริ่มต้น เกิด และเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และก้าวสู้ตลาดต่างประเทศ
“การไม่ติดยึดอยู่กับที่และมีจุดยืนว่าจะปักธงชาติไทย อยู่บนชั้นวางสินค้าในต่างประเทศ ทำให้คนต่างประเทศรับรู้ว่าสินค้าไทย ไม่แพ้ใครในโลก เอสเอ็มอี ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้รับความสนใจจากคนทั้งโลก เพื่อก้าวสู่การเป็น โกลบอล เอสเอ็มอี”