Technology

‘5G-โควิด-19’ ปฏิวัติอุตสาหกรรมสุขภาพสู่ ‘สมาร์ทเฮลธ์แคร์’

กรุงไทย ฟันธง 5G – วิกฤติไวรัสโควิด-19 ตัวเร่งปฏิวัติการดำเนินธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมสู่รูปแบบอัจฉริยะ ผลักดันอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ พลิกโฉมสู่ สมาร์ทเฮลธ์แคร์ แก้ปัญหาข้อจำกัดด้านความเพียงพอและการกระจุกตัวของบุคลากรทางการแพทย์ รับมือสังคมผู้สูงอายุ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยปีละ 7-11.5%

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า สำหรับประเทศไทย คาดว่าการใช้งาน 5G จะคึกคักใน 1-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และจังหวัดต้นแบบของสมาร์ทซิตี้  เนื่องจาก 5G จะทำให้เทคโนโลยีต่างๆ ทรงพลัง โดยเร็วกว่า 4G ได้ถึง 20 เท่า และรองรับอุปกรณ์ได้มากกว่าถึง 10 เท่า

healthcare 5g

ที่สำคัญวิกฤติไวรัสโควิด-19 ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้ผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ เปิดรับและเรียนรู้เทคโนโลยีเร็วขึ้น ตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เช่น การปฏิบัติงานทางไกล การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Robotics & Automation) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ ซึ่งเป็นแนวหน้าในการสู้กับไวรัสโควิด-19 และไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ และการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

ทั้งนี้ 5G จะก่อให้เกิดอุปกรณ์ใหม่ๆ จำนวนมหาศาลในชีวิตประจำวัน ที่เชื่อมต่อกันด้วยอินเทอร์เน็ต และจะปฏิวัติการดำเนินธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมสู่รูปแบบอัจฉริยะ (Smart Business) ซึ่งในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์  จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการดูแลสุขภาพสู่มิติใหม่ๆ แก้ปัญหาข้อจำกัดด้านความเพียงพอและการกระจุกตัวของบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีแพทย์เพียง 6 คนต่อประชากร 1 หมื่นคน ลดผลกระทบต่อคุณภาพและการเข้าถึงบริการทางการแพทย์

นอกจากนั้น ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 8% จนอยู่ที่ 5.8 แสนล้านบาท หากมีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ประมาณการณ์ว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศลงได้ปีละ 7-11.5%

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ

 

ด้านนายณัฐพร ศรีทอง ผู้ร่วมทำวิจัยกล่าวเสริมว่า 5G จะทำให้เกิดสมาร์ท เฮลธ์แคร์ อย่างแท้จริง เนื่องจากผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์สามารถสื่อสารกันแบบเรียลไทม์ ข้อมูลต่างๆ จะถูกรวมศูนย์อย่างเป็นระบบ และทำให้ศูนย์กลางการดูแลสุขภาพถูกถ่ายโอนจากบุคลากรทางการแพทย์สู่ผู้ป่วยมากขึ้น

ขณะที่ผู้ป่วยจะได้รับบริการดูแลสุขภาพในรูปแบบ 4 P คือ สามารถคาดการณ์ปัญหาสุขภาพ (Predictive) ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive) ออกแบบให้เฉพาะเจาะจงแต่ละบุคคล (Personalized) รวมทั้งผู้ป่วยมีส่วนดูแลสุขภาพมากขึ้น (Participatory)ผ่านการตรวจตราและเฝ้าระวังสุขภาพผ่านโทรศัพท์มือถือ ด้วยแอปพลิเคชันและอุปกรณ์สวมใส่ต่างๆ (wearable)

“จากงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่าตลาด wearable จะเติบโตปีละ 28% ขณะที่ตลาดการปรึกษาด้านสุขภาพทางไกลจะเติบโตปีละ 18.9% และโดยรวมตลาดอินเทอร์เน็ต ออฟ เมดิคัล ธิงส์ จะเติบโตปีละ 27.6%”นายณัฐพร กล่าว

ณัฐพร ศรีทอง
ณัฐพร ศรีทอง

ดังนั้น ภาครัฐและเอกชนไทยในระบบนิเวศของอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ ต้องเตรียมพร้อมและปรับตัวเช่น สร้างบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี วางระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีความปลอดภัยและปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม ร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจในเชิงกลยุทธ์ เพื่อยกระดับการให้บริการ นำเสนอบริการ m-Health หรือ Mobile Health บริการปรึกษาแพทย์ทางไกลผ่านแพลตฟอร์มโรงพยาบาลที่

นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างความร่วมมือกับ HealthTech Startup ซึ่งมีจุดเด่นด้านนวัตกรรมและความคล่องตัวสูง ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีทางการแพทย์ ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์สวมใส่ รวมถึงผู้ให้บริการวางระบบโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูล ตลอดจนผสานกับหน่วยงานภาครัฐ ประกันสังคม บริษัทประกัน และธนาคารพาณิชย์ เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลและระบบการจ่ายค่ารักษาพยาบาล

Avatar photo