“Thank you,Chevron Team ,for all you’ve done”
“Every effort you have brought to the site has made a difference”
ถ้อยคำส่งกำลังใจมากมายไปยัง ทีมเชฟรอนผ่านเพจ “Erawan 36” ขณะพวกเขาหลายสิบชีวิตไปปฏิบัติภารกิจช่วยทีมหมูป่ากลับบ้านตลอด 17 วันของการทำงานที่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ถึงตอนนี้ภาพนั้นยังอยู่ในความทรงจำของหลายๆคน
ปฏิบัติการของ ทีมเชฟรอน ประกอบด้วยบุคลากรจากหลายส่วนงานหลากพื้นที่ เช่น สำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ ศูนย์เศรษฐพัฒน์ หรือศูนย์ฝึกอบรมช่างเทคนิคปิโตรเลียมของเชฟรอนที่จังหวัดสงขลา รวมถึงบริษัทผู้รับเหมา
ทุกคนจากทุกสารทิศ พกความมุ่งมั่น และความรู้ความเชี่ยวชาญ ทั้งในฐานะนักธรณีวิทยา วิศวกรทุกสาขา และบุคลากรชำนาญการเฉพาะทางไปปักหลักทำงาน ร่วมแรงร่วมร่วมใจเพื่อเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการช่วยเหลือทีมหมูป่า
ภารกิจครั้งสำคัญที่ถ้ำหลวง ที่ทีมเชฟรอนได้รับมอบหมายเป็นการผันน้ำ เพื่อเปลี่ยนทิศทาง ไม่ให้เข้าไปเพิ่มระดับน้ำในถ้ำ และยังมีพนักงานที่เป็นอดีตหน่วยซีลได้เข้าร่วมในภารกิจดำน้ำภายในถ้ำด้วย
ขณะที่ทีมเชฟรอนกรุงเทพฯ ก็ทำหน้าที่เชื่อมประสานการทำงานกับทีมในพื้นที่ สนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการระดมทรัพยากรจากพื้นที่ปฏิบัติงานทั่วประเทศไปยังถ้ำหลวงให้ทันท่วงที ทั้งติดต่อกับหน่วยงานทั้งของไทยและสหรัฐ เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังความสามารถในด้านต่างๆ ทำให้วัสดุอุปกรณ์มากมายหลั่งไหลไปที่ถ้ำหลวง เพื่อสนับสนุนภารกิจของหน่วยซีล และหน่วยกู้ภัยตามความต้องการอย่างรวดเร็วทันการณ์ อาทิ ถังอัดอากาศประมาณ 200 ถัง ที่กำลังขาดแคลนในขณะนั้น ท่อน้ำแบบดัดงอได้ 2,000 เมตรเพื่อใช้ในการเบี่ยงทางน้ำ สายปรับกำลังดัน ไฟฉาย และชูชีพดำน้ำ เป็นต้น
ตลอดระยะเวลาปฏิบัติภารกิจของ ทีมเชฟรอน ในการเป็นส่วนหนึ่งเพื่อพาทีมหมูป่ากลับบ้าน ทุกคนเอ่ยปากว่า “สุดหิน” การเดินเท้าเป็นระยะทางถึง 2-3 กิโลเมตรบนภูเขา เพื่อเฝ้าดูประสิทธิภาพการทำงานของฝายทดน้ำที่ดอยผาหมี การประสานงานกับคนกว่า 300 คน จัดการกับท่อวงขนาดยักษ์น้ำหนักหลายร้อยกิโลกรัมด้วยความยาว 2,000 เมตร บนเขาลาดชัน และต้องทำภายในเวลา 14 ชั่วโมง เพื่อผันน้ำและเปลี่ยนทิศทางน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ไม่ให้เข้าไปเพิ่มระดับน้ำในถ้ำหลวงให้มากที่สุด
การเป็นหนึ่งในทีมดำน้ำของอดีตหน่วยซีล เพื่อลำเลียง 13 ชีวิตทีมหมูป่าท่ามกลางความมืด แคบ น้ำท่วมมิดศีรษะทั้งเชี่ยวแรง และขุ่นมัว จนมองไม่เห็นทางข้างหน้า กระทั่งทั่วโลกประเมินไว้ว่าเป็นภารกิจที่ “ไม่น่าจะเป็นไปได้”
แต่อุปสรรคต่างๆ ถูกก้าวข้ามด้วยภาพการทำงานเคียงบ่า เคียงไหล่ หามรุ่ง หามค่ำ ระหว่างพนักงานเชฟรอน เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานและองค์กรมากมาย รวมถึงชาวบ้านที่ต่างอาสามาช่วยกันคนละไม้คนละมือ จนมาถึงวันที่พบ 13 ชีวิตทีมหมูป่า และเสียง “Hooyah!!” ตามฉบับหน่วยซีลดังกึกก้องป่าเมื่อการช่วยเหลือทีมหมูป่าคนสุดท้ายออกจากถ้ำได้สำเร็จ
ความทรงจำเหล่านี้ที่ถ้ำหลวงไม่ได้สิ้นสุดลง ณ วันนั้น แต่ประสบการณ์ทั้งหมดยังสะท้อนจนถึงปัจจุบัน และมีการถอดบทเรียนอย่างต่อเนื่อง
เสียงความห่วงใยตะโกนเรียกหาทีม เพื่อเช็คว่าอยู่กันครบหรือไม่ เสียงแห่งความหวังที่จะกลับมาทำงานต่อในวันรุ่งขึ้นให้เสร็จสมบูรณ์ เสียงการให้กำลังใจ และคำขอบคุณจากก้นบึ้งหัวใจที่ให้ซึ่งกันและกันเกิดขึ้นทุกค่ำคืนเมื่อภารกิจจบลงในแต่ละวัน มาถึงเสียงโห่ร้องยินดีปรีดาปนน้ำตาแห่งความปีติเมื่อภารกิจจบลง เสียงเหล่านี้คือบทเรียนแห่งความทรงจำ
เป็น “ปาฎิหารย์” ที่ไม่ได้เกิดจากความเร้นลับเหนือธรรมชาติ แต่มาจาก “ความมุ่งมั่น ตั้งใจ พยายาม และทุ่มเทแรงกายแรงใจ” อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเหล่า “ฮีโร่” ที่อยู่เบื้องหน้า และเบื้องหลังจากทุกภาคส่วน ทั้งในและนอกประเทศที่รวมกันเป็นหนึ่ง “ใครมีเงินลงเงิน ใครมีแรงลงแรง ใครช่วยอะไรได้ช่วยตามถนัด” ตั้งแต่ฝ่ายบริหาร ในระดับประเทศ ระดับพื้นที่ องค์กรรัฐและบริษัทเอกชน รวมถึงฝ่ายปฏิบัติการณ์จากสาขาอาชีพต่างๆ และประชาชน ทำให้การทำงานที่ว่า “สุดหิน” ประสบความสำเร็จได้ด้วยดี
เชฟรอน แม้เป็นเพียงทีมเล็กๆ ส่วนหนึ่งของภารกิจช่วยชีวิตทีมหมูป่า แต่การได้ร่วมประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ทำให้เชฟรอนภาคภูมิใจในการได้ร่วมแรงร่วมใจกับทุกคน และทั้งหมดจะอยู่ในความทรงจำตลอดไป
ทั้งจะนำภาพดีๆเหล่านั้นถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นเกิดเป็น “วิถีของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” ที่สามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งปวง