วันนี้ (4 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพัลลภ สิงหเสนี ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในฐานะผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้มีคำสั่งเพิ่มเติมที่ 3861/2563 เพื่อป้องกัน และควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนี้
- ให้ทุกอำเภอจัดตั้งจุดตรวจจุดสกัดในพื้นที่ตำบล หมู่บ้านชุมชน ที่เป็นจุดเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
เพื่อสกัดกั้นการเข้า-ออก ของบุคคลที่มีความเสี่ยง กรณีมีเหตุสงสัยว่าเป็นผู้ป่วยโรคโควิด 19 ให้ดำเนินการกักตัว คุมตัวไว้สังเกตอาการ และให้มารับการตรวจตามมาตรา 34(1) แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พุทธศักราช 2558
- ให้ตรวจสอบ และตรวจตราการชุมนุม การทำกิจกรรม หรือการมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ในสถานที่แออัด
กระทำการอันเป็นการยุยงส่งเสริมความไม่สงบโดยเคร่งครัด ตามข้อกำหนด
- ปิดโรงแรมที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม ตามพระราชบัญญัติโรงแรม พุทธศักราช 2547 ทุกประเภท
ครอบคลุมถึงสถานประกอบการที่ให้บริการในลักษณะเดียวกัน ยกเว้นโรงแรมซึ่งทางราชการใช้เป็นโรงพยาบาลสนาม หรือสถานที่พักเพื่อสังเกตอาการ หรือใช้เพื่อประโยชน์อื่นใดในทางราชการ ในการแก้ไขปัญหาตามมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดจากโรคโควิด 19
กรณีโรงแรมมีผู้เข้าพักอยู่ก่อนจะมีคำสั่ง ให้ผู้เข้าพักสามารถเข้าพักต่อไปได้ จนกว่าผู้เข้าพักจะแจ้งออกจากห้องพักจนหมด แล้วให้ปิดทันที โดยไม่ให้มีการรับผู้เข้าพักเพิ่มอีก และเพื่อประโยชน์ในการตรวจคัดกรองโรคให้โรงแรมที่ยังมีนักท่องเที่ยว หรือผู้เดินทางเข้าพักอยู่แจ้งจำนวน และรายชื่อผู้เข้าพัก พร้อมทั้งวันที่ครบกำหนดที่ต้องออกจากห้องพักให้อำเภอทราบ
หากผู้เข้าพักคนใดมีอาการเข้าข่ายที่ต้องเฝ้าระวังการติดเชื้อโควิด 19 จะต้องถูกส่งไปแยกกัก กักกันหรือคุมไว้สังเกตอาการ
- กำหนดมาตรการป้องกันการเกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรืออาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดแพร่ออกไป
โดยกำหนดให้ประชาชนในเขตจังหวัดทุกคน ต้องสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าก่อนออกจากบ้านทุกครั้งหากฝ่าฝืนปรับไม่เกิน 20,000 บาท
- ห้ามมิให้เรือที่แจ้งออกมาจากต่างจังหวัดแจ้งเข้าท่าในเขตจังหวัด ยกเว้นมีเหตุจำเป็นหรือเหตุสุดวิสัย
กรณีเรือประมงพื้นบ้านที่จะออกทำการประมงในห้วงเวลาเคอร์ฟิว ให้แจ้งประสานกำนันผู้ใหญ่บ้านเพื่อแจ้งการเข้า-ออกในพื้นที่ ส่วนการทำเกษตรในช่วงเคอร์ฟิว เช่น ประมง ให้ขออนุญาตโดยวาจากับเจ้าพนักงาน เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ ในพื้นที่
หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งฉบับนี้ มีความผิดตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พุทธศักราช 2558 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท มีความผิดตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อพุทธศักราช 2558 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มีโทษตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พุทธศักราช 2548 จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มีผลตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 เป็นต้นไป
- ปิดเพิ่ม!! 2 อำเภอ ‘ยะลา’ ติดเชื้อเพิ่ม 2 ราย รวม 51 ราย
- ไทยป่วยโควิด-19 เพิ่มต่ำร้อย เหลือ 89 ราย ยันกลุ่มกลับจากต่างประเทศ ติดเชื้อสูงลิ่ว 21 ราย
- กต.แจง ไม่ได้ขัดคำสั่งนายกฯ ยันสถานทูตแจ้งล่วงหน้า กักตัวทุกกรณี