COVID-19

ด่วน 3 เม.ย.นี้! ‘เคอร์ฟิว’บังคับใช้ทั่วประเทศ หลังคุมโควิด-19ไม่อยู่

นายกฯใช้มาตรการเข้มเตรียมประกาศ”เคอร์ฟิว”ทั่วประเทศระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. เริ่มตั้งแต่วันศุกร์นี้เป็นต้นไป หลังเชื้อโควิด-19 แพร่กระจายไปทั่วทุกภาค ยกเว้นผู้ที่มีความจำเป็นต้องเดินทาง บุคคลากรทางการแพทย์ การขนส่งเวชภัณฑ์ การขนส่งผู้ป่วย การขนส่งด้านพลังงาน 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (2 เม.ย.) ในภาพรวมที่ยังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและการทบทวนมาตรการต่างๆ

รายงานข่าวจาก ศบค. กล่าวว่าที่ประชุมได้มีการหารือว่าหลังประกาศบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อเป็นการยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ปรากฏว่ายังพบจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ดังนั้น หากยังปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ อาจมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ทำให้นายกรัฐมนตรีอาจต้องบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเต็มรูปแบบ ตามข้อเสนอจากศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.)

อย่างไรก็ตาม ในการประชุมศบค. ที่ประชุมนายกฯได้แจ้งเรื่องการยกระดับมาตรการในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มเติม โดยประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศ  ระหว่างเวลา 22.00 น.-04.00 น.ของทุกวัน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 3 เมษายน 2563  ยกเว้นผู้ที่มีความจำเป็นต้องเดินทาง อย่างเช่นบุคคลากรทางการแพทย์ การขนส่งเวชภัณฑ์ การขนส่งผู้ป่วย การขนส่งด้านพลังงาน 

จากที่ก่อนหน้านี้ ได้มีการนำร่องในการ ออกมาตรการปิดเมือง ด้วยการกำหนดช่วงเวลาห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานไปแล้วหลายจังหวัด และปิดร้านสะดวกซื้อและร้านขายของช่วงเวลา 00.01-05.00 น.

สอดรับกับที่ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. ให้สัมภาษณ์ระหว่างการซักถามของสื่อมวลชน เรื่องจะมีการยกระดับเรื่องการเคอร์ฟิว ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ว่า วันนี้ขอให้ประชาชนติดตามหน้าจอโทรทัศน์ไว้ มาตรการตัวเลขต่างๆ ท่านนายก ชมว่า ขอบคุณทุกคน และทำให้ผลการติดเชื้อไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

“ท่านนายกฯ พูดถึงมาตรการจากเบาไปหาหนักตั้งแต่ต้น วันนี้อยากให้ติดตาม เวลาที่จะประกาศอีกครั้งตามหน้าจอทีวี เพื่อให้ผู้ชมรับทราบ และร่วมมือกัน เราต้องผนึกเราใจกันเป็นหนึ่ง นายกฯ จะเป็นกล่าวด้วยตัวท่านเอง” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

จากการพิจารณาตัวเลข ผู้ป่วยและเสียชีวิต นายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้มีมาตรการชะลอการเดินทางของคนต่างชาติ และคนไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศจะนำไปทำข้อมูลต่อไป ซึ่งหากตัวเลขดังกล่าวไม่ลด จะทำให้คนในประเทศติดเชื้อ

โดยพบว่า คนไทย ไปประชุมอิตาลี 6 คน ติดเชื้อ 4 คน ต้องกักตัวคน 50 คน ศาสนกิจที่มาเลเซีย คนเดินทางไป 132 คน ติดเชื้อ 47 คน เสียชีวิต 4 คน ต้องกักตัวคนนับพันคน ศาสนกิจที่อินโดนีเซีย เดินทางไปจำนวน 56 คน ติดเชื้อ 32 คน กักตัวไปแล้ว 500 กว่าคน ผู้เดินทางกลับจากอังกฤษ ติดเชื้อ 4 คน เสียชีวิต 1 คน(เป็นนักธุรกิจ) กักตัวคน 200 กว่าคน โดยพบว่า ผู้เสียชีวิต และผู้ติดเชื้อ ป่วยแต่ปกปิดอาการ และแอบเดินทางกลับมา และผู้เดินทางจากกัมพูชา ติดเชื้อ 19 คน กักตัว 300 คน

ถือเป็นภารกิจหนักมากๆ สำหรับผู้ที่ถูกกักตัว โดยนายกฯ ได้สั่งการมาตรการใหญ่ๆ ตั้งแต่วันนี้ -15 เมษายน 2563 ให้ชะลอการเดินทางเข้าประเทศ เว้นคนที่มีความจำเป็น และได้ติดต่อไว้ก่อนหน้า

ตัวเลขดังกล่าวก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้น เพื่อไม่ให้มีการแพร่เชื้อไปมากกว่านี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ภายหลังพบผู้ปฎิบัติงานของ ศบค. ที่ทำเนียบรัฐบาล ติดโรคโควิด-19 ขณะนี้มีการกักตัวเพื่อสังเกตอาการเจ้าหน้าที่ ศบค.แล้ว 6 คน รวมถึงนายประทีป กีรติเรขา รองเลขานายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมืองในฐานะกรรมการและเลขานุการ ศบค. ไปแล้ว

ขณะเดียวกันได้มีเจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เข้ามาตรวจสอบเพิ่มเติมว่ามีใครเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงอีกหรือไม่ รวมทั้งได้เรียกตัวเจ้าหน้าที่และข้าราชการจากกรมประชาสัมพันธ์บางส่วนที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงเข้าตรวจเพื่อเพิ่มมาตรการในการป้องกัน

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight