สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาที่ผู้บริโภคชาวไทยต้องรู้เท่าทันและรับข่าวสารที่ถูกต้อง รู้จักพิจารณาข้อมูลต่างๆ ที่แชร์กันบนโลกออนไลน์ ข้อมูลที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบและไม่เป็นความจริงสามารถก่อให้เกิดความสับสนได้ และที่ร้ายแรงที่สุดคืออาจก่อให้เกิดความหวาดกลัวและความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น
ทั้งนี้ เฟซบุ๊กได้เตรียมความพร้อมในการป้องกันการเผยแพร่ข่าวปลอม เพื่อช่วยให้ทุกคนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดย ร่วมมือกับพันธมิตรด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ ตลอดถึงการประสานงานกับองค์การอนามัยโลกและองค์กรต่างๆ มากมาย ที่ได้รับความเชื่อถือ ในการเชื่อมผู้ใช้งานเข้ากับเนื้อหาที่เป็นการให้ความรู้ โดยจะปรากฏอยู่ด้านบนสุดของ News Feed นอกจากนี้ ยังได้วางแผนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลโควิด-19 ในประเทศไทยเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานหลีกเลี่ยงการได้รับข้อมูลที่ไม่เป็นจริงและข่าวปลอมทั้งหลาย เฟซบุ๊กประเทศไทยจึงได้เปิดตัวโครงการ We Think Digital Thailand ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ช่วยพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลและการเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ดีให้กับชาวไทย โดยครอบคลุมหัวข้อการเรียนรู้ต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ตคืออะไร ลายมือดิจิทัลของคุณ การเป็นนักคิดเชิงวิเคราะห์ รวมถึงเคล็ดลับการสังเกตข่าวปลอม
พร้อมกันนี้ เฟซบุ๊กได้แนะนำเคล็ดลับง่ายๆ 5 ขั้นตอนที่จะช่วยให้สามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆ บนหน้าฟีดได้ก่อนกดปุ่มแชร์
ขั้นตอนที่ 1: ตรวจสอบลักษณะของโพสต์
สังเกตวิธีพาดหัวข่าว ข่าวปลอมส่วนใหญ่มักใช้คำพาดหัวข่าวที่เล่นกับอารมณ์ความรู้สึกหรือใช้เทคนิคเพื่อดึงดูดความสนใจ เช่น ใช้ภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด หรือการใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) จำนวนมาก หัวข้อข่าวที่ใช้ถ้อยคำแบบสุดโต่งหรือกล่าวอ้างเกินความเป็นจริง มักมีแนวโน้มเป็นข่าวปลอม
พิจารณาชื่อของเว็บไซต์หรือที่อยู่ของเว็บไซต์ (URL) เว็บไซต์ที่น่าสงสัยส่วนมากมักพยายามลอกเลียนแบบจากเว็บไซต์จริงโดยแทรกจุดแตกต่างเล็กน้อยเข้าไปแทน เช่น การใช้ตัวไอพิมพ์ใหญ่ (I) เพื่อแทนตัวแอลพิมพ์เล็ก (l) หรือการใช้เลขศูนย์ (0) แทนตัวโอ (o) หากคุณไม่มั่นใจ ให้เปิดหน้าต่างเบราว์เซอร์ขึ้นมาใหม่ จากนั้นให้ไปที่เว็บไซต์จริงและลองเปรียบเทียบ URL ว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ โดยในประเทศไทย พบว่า 71% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าพวกเขาอ่านบทความจนจบก่อนที่จะแชร์ต่อ
ขั้นตอนที่ 2: ตรวจสอบเว็บไซต์
เมื่อคุณตัดสินใจกดลิ้งก์แล้ว ให้วิเคราะห์ลักษณะหน้าเพจของบทความ ตรวจสอบชื่อของผู้เขียนแล้วค้นหาข้อมูลดูว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ โดยอาจพิจารณาจากบทความอื่นๆ ที่เขียนขึ้นโดยผู้เขียนคนเดียวกัน แนะนำให้อ่านข้อมูลในส่วน “เกี่ยวกับเรา” บนหน้าเว็บไซต์นั้นๆ เพื่อทำความรู้จักเว็บไซต์หรือองค์กรนั้นให้มากขึ้น
บ่อยครั้งที่ข่าวปลอมส่วนใหญ่จะใส่วันที่คลาดเคลื่อน สะกดคำผิด จัดวางข้อความแปลกๆ รวมถึงใช้รูปหรือวิดีโอที่ถูกปรับแต่ง ในบางครั้งรูปภาพนั้นอาจเป็นรูปภาพจริง แต่ถูกนำมาเปลี่ยนแปลงบริบท คุณสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภาพนั้นเพิ่มเติมเพื่อยืนยันถึงที่มาของภาพนั้น
ขั้นตอนที่ 3: สังเกตบุคคลอ้างอิงในบทความ
หากบทความมีการกล่าวอ้างอิงหรือยกคำพูดของผู้เชี่ยวชาญมา แต่ไม่มีการกล่าวชื่ออย่างชัดเจน เช่น “ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งกล่าวว่า…” ในกรณีนี้ อาจบ่งบอกได้ว่าบทความดังกล่าวเป็นข่าวปลอม แนะนำให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่ผู้เขียนกล่าวถึงนั้นเป็นความจริง โดยอาจดูเพิ่มเติมจากบทความหรืองานศึกษาอื่นๆ
ขั้นตอนที่ 4: เปรียบเทียบจากการพาดหัวข่าวและแหล่งข้อมูลอื่นๆ
ลองดูแหล่งข่าวอื่นว่ามีการรายงานข่าวเดียวกันหรือไม่ และตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น ข้อมูลจากการองค์การอนามัยโลก (WHO) หรือจากกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น ข้อมูลจะมีแนวโน้มความน่าเชื่อถือมากขึ้นหากมีแหล่งข่าวจำนวนมากรายงานถึง
ขั้นตอนที่ 5: รับฟังข้อมูลอย่างเป็นทางการล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 จากองค์กรด้านสุขภาพและอนามัยของท้องถิ่นและนานาชาติเท่านั้น
ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณกำลังอ่านและแชร์ข้อมูลที่ถูกต้องและได้รับการยืนยันแล้ว โดยสามารถติดตามการเคลื่อนไหวได้จากองค์กรที่เป็นทางการ ได้แก่ เว็บไซต์กรมควบคุมโรค, Facebook Page ของกระทรวงสาธารณสุข “ไทยรู้สู้โควิด”, เว็บไซต์องค์การอนามัยโลก (WHO) และ เว็บไซต์องค์การอนามัยโลกที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 ประจำประเทศไทย
- เตือนอีกครั้ง! อย่าอาศัยวัน ‘April Fool’s Day’ ปล่อยข่าวปลอม
- ‘หมอหนู’ เซ็ง!! วอนหยุดส่งต่อข่าวปลอม ‘ไวรัสโคโรนา’
- ‘บิ๊กตู่’ ยันคุมสถานการณ์ ‘โคโรนา’ ได้ 100% ลั่นห่วงข่าวปลอม!!