Politics

‘บิ๊กตู่’ สั่งจับตาผล ‘พ.ร.ก.ฉุกเฉิน’ ขู่ใช้ยาแรงหากคุมสถานการณ์ไม่ได้!

“นายกรัฐมนตรี” สั่งประเมินผล “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ทุกสัปดาห์ ชี้หากไม่ได้ผลเตรียมยกระดับให้เข้มขึ้น จ่อสั่งหยุดเดินทางหากยอดผู้ติดเชื้อยังพุ่ง

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า สำหรับการพิจารณาการประเมินผล “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” นั้น ได้มีการประเมินผลการทำงานทุกสัปดาห์อยู่แล้วในการประชุมครม.หรือการประชุมคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงศบค. ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำตรงนี้อยู่แล้ว โดยมีการทบทวนทุกสัปดาห์ในส่วนของมาตรการ ซึ่งพ.ร.ก.ฉุกเฉิน อำนาจตามกฎหมาย จะใช้ได้ 3 เดือน

วันนี้ผมให้ประเมิน 1 เดือนแรกก่อนถ้าจำเป็นก็ต่อไปเดือนที่ 2 เดือนที่ 3 โดยมาตรการจะต้องเข้มข้นขึ้นตามลำดับ ดังนั้นยังไม่มีแนวโน้มจะยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินเว้นแต่ให้ไปพิจารณาว่าอะไรทำแล้วได้ผลและดีขึ้น ซึ่งอาจจะมีผ่อนผันอะไรก็ว่ากันไปแต่หากไม่ดีขึ้นก็จะเข้มข้นมากยิ่งขึ้น” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ประยุทธ์313632

ในส่วนของการเดินทาง วันนี้ได้ให้กระทรวงคมนาคมไปพิจารณาในกรณีหากยังมีการเคลื่อนย้ายจำนวนมากอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเราเข้าใจถึงความสะดวกแต่บางคนก็ไม่จำเป็นที่ต้องเดินทาง ดังนั้นให้ไปดูว่าการให้บริการขนส่งต่างๆของภาครัฐจะทำอย่างไร จำเป็นต้องลดจำนวนเที่ยวลงหรือไม่ในการให้บริการ ซึ่งหากยังไม่เรียบร้อยหรือยังไม่สามารถควบคุมได้ก็อาจต้องเจอสถานการณ์การลดการให้บริการทั้งหมด ไม่ว่าจะรถไฟฟ้า รถไฟ รถโดยสาร และรถเมล์ต่างๆ ที่จำเป็นต้องลดเที่ยวในการบริการลงจนกว่าสถานการณ์จะเรียบร้อย แต่หากยังไม่เรียบร้อยอีกก็คงต้องหยุดการให้บริการทั้งหมด เพื่อลดการเคลื่อนย้ายไปมาและลดการแพร่เชื้อ

สำหรับการเดินทางออกนอกจังหวัดหรือนอกเขต แม้กระทั่งกรุงเทพฯ ซึ่งขณะนี้หลายคนก็เป็นห่วงอยากให้มีการสั่งหยุดหรือปิดไปเลย แต่สิ่งเหล่านี้เราต้องดูผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลายอย่างด้วย โดยเฉพาะในเรื่องการจับจ่ายและซื้อสินค้า ดังนั้นทุกคนต้องระมัดระวังตัวเองด้วย ขณะเดียวกันรัฐบาลเน้นย้ำในเรื่องให้บริการแกร็ปหรือไลน์แมนต่างๆ ที่ต้องมีการตรวจสอบเชื้อไวรัสจากผู้ให้บริการเหล่านี้ด้วยและอย่าไปแออัดที่ร้านค้าก่อนจะรับของไปส่ง เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้บริโภค ดังนั้นทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเองและรับผิดชอบผู้อื่นเสมอ

การที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเป็นมาตรการหนึ่งที่อาจจะมองได้อีกแง่มุมว่า เราได้มีการตรวจสอบคัดกรองมากยิ่งขึ้น ประชาชนที่รู้ว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงก็มาพบแพทย์มากยิ่งขึ้นและมีโอกาสตรวจพบมากขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องเข้าใจตรงนี้ ขณะที่ใครไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและดูแลตัวเองดีแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปตรวจเชื้อ ซึ่งขอให้เข้าใจด้วยว่าเราจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมการใช้จ่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เพียงพอสำหรับผู้ที่ติดเชื้อจริงๆ และผู้ที่มีความเสี่ยงจริงๆ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

Avatar photo