ปักกิ่ง – รายการ ‘ยา’ และ ‘วิธีการรักษา’ ต่อไปนี้ คือแนวทางการรักษาที่พบว่ามี ‘ศักยภาพ’ ในการต่อสู้กับโรคติดเชื้อ ‘ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)’ ทั้งที่เสร็จสิ้นการทดลอง หรืออยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิกในจีน
1. ฟาวิพิราเวียร์ (FAVIPIRAVIR)
‘ฟาวิพิราเวียร์’ เป็น ยาต้านไวรัสกลุ่มโรคไข้หวัดใหญ่ ที่ได้รับการอนุมัติเพื่อการใช้งานทางคลินิกในญี่ปุ่นเมื่อปี 2014 โดย ยาตัวนี้ช่วยให้ผู้ป่วยมีผลตรวจไวรัสออกมาเป็นลบได้ในเวลาอันสั้น ทั้งยังไม่ปรากฏอาการข้างเคียงที่ชัดเจน ในการทดลองทางคลินิกในนครเซินเจิ้น มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน
ส่วนการทดลองอีกรายการหนึ่งในนครอู่ฮั่น ศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เผยให้เห็นถึงประสิทธิภาพการรักษาของยาตัวนี้เช่นกัน โดยผลออกมาดีกว่าผลของกลุ่มควบคุม (control group) หรือกลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยจัดให้มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง แต่ไม่ได้รับตัวแปรในการทดลอง เพื่อใช้เปรียบเทียบผลที่ได้กับกลุ่มทดลอง
ขณะนี้ บริษัทเภสัชกรรมจีนแห่งหนึ่งได้รับการอนุมัติจากสำนักงานบริหารเวชภัณฑ์แห่งชาติ (NMPA) ให้ผลิตยาชนิดนี้จำนวนมากแล้ว พร้อมทั้งประกันยาสำรองให้เพียงพอ
- สถิติใหม่ทุกวัน! อิตาลี ดับเพิ่ม 793 ราย ‘โควิด-19’ ติดเชื้อทั่วโลกทะลุ 3 แสน
- ‘อู่ฮั่น’ เผยยอดผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ‘เป็นศูนย์’ ติดต่อกัน 4 วันแล้ว
- ชื่นชม ‘สถานกงสุลไทยในเยอรมัน’ ช่วยเหลือคนไทยตกเครื่อง ได้กลับบ้าน
2. คลอโรควิน ฟอสเฟต (CHLOROQUINE PHOSPHATE)
‘คลอโรควิน ฟอสเฟต’ เป็น ยารักษาและป้องกันการติดเชื้อมาลาเรีย และ รักษาโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง ที่ถูกนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการวิกฤต ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของอู่ฮั่น และจนถึงขณะนี้ยังไม่พบอาการข้างเคียงที่ปรากฏชัดจากการใช้ยา
กรอบแนวทางการรักษาฉบับล่าสุดของจีนระบุให้ ‘คลอโรควิน ฟอสเฟต’ เป็นยาแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอายุ 18-65 ปี โดยหากผู้ป่วยมีน้ำหนักมากกว่า 50 กิโลกรัม ให้ใช้ยาขนาด 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน แต่ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง 9 กลุ่ม อาทิ หญิงมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจ ตับ และไตเรื้อรัง
3. แพทย์แผนจีน (TCM)
‘การแพทย์แผนจีน (TCM)’ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19
บรรดาผู้เชี่ยวชาญการแพทย์กล่าวว่าวิธีรักษาด้วยยาแผนจีนนั้นช่วย ลดอาการไข้ หรือไอในผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงได้ ส่วนผู้ป่วยที่อาการรุนแรงนั้น ยาแผนจีนจะช่วยบรรเทาอาการต่างๆ และฟื้นฟูความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ป้องกันไม่ให้อาการของผู้ป่วยทรุดหนักจนถึงขั้นวิกฤต
นอกจากนี้ จีนยังได้แนะนำยาต้ม ‘ชิงเฟ่ย ไผตู๋’ (Qingfei Paidu) แก่สถาบันทางการแพทย์ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา
4. โทซิลิซูแมบ (TOCILIZUMAB)
กรอบแนวทางการรักษาฉบับล่าสุดแนะนำให้ใช้ยา ‘โทซิลิซูแมบ’ ซึ่งใช้ชื่อทางการค้าว่า แอกเทมรา (Actemra) ใน ผู้ป่วยที่มีระดับอินเทอร์ลิวคิน-6 (IL-6) เพิ่มสูงขึ้น และ มีรอยโรคระดับสูงในปอดทั้ง 2 ข้าง หรือมีอาการรุนแรง
เนื่องจาก ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มี อาการรุนแรงและอาการวิกฤต จำนวนมากได้รับการตรวจพบระดับ IL-6 ในเลือดที่สูงขึ้น ระดับ IL-6 ที่สูงขึ้นนั้นจึงกลายเป็นสัญญาณเตือนว่าอาการของผู้ป่วยอาจทรุดลงได้
ขณะนี้ ยาโทซิลิซูแมบ ยังอยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิกในโรงพยาบาล 14 แห่งในอู่ฮั่น และจนถึงวันที่ 5 มี.ค. มีการใช้ยาชนิดนี้รักษาผู้ป่วยอาการรุนแรงแล้ว 272 ราย
5. น้ำเลือดที่มีโปรตีนภูมิคุ้มกัน (CONVALESCENT PLASMA)
‘น้ำเลือดหรือพลาสมา’ ที่มี โปรตีนภูมิคุ้มกันได้มาจากการนำพลาสมาที่เก็บจากผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่หายป่วยแล้ว มาผ่านกระบวนการ โดยพบว่ามีส่วนประกอบของโปรตีนภูมิคุ้มกันในปริมาณมาก
นับถึงวันที่ 28 ก.พ. มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่รับการรักษาด้วยวิธีนี้แล้ว 245 ราย โดย 91 รายมีอาการและตัวบ่งชี้ทางคลินิกดีขึ้นหลังรับการรักษา
ทั้งนี้ ทางการสาธารณสุขชี้ว่าการรักษาด้วยพลาสมาได้รับพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
6. เรมเดซิเวียร์ (REMDESIVIR)
‘ยาเรมเดซิเวียร์’ พัฒนาขึ้นโดยกิลเลียด ไซเอนเซส (Gilead Sciences) บริษัทเวชภัณฑ์สัญชาติสหรัฐฯ เพื่อต้านเชื้ออีโบลา สำหรับการรักษาโรคโควิด-19 นั้น ยาชนิดนี้สามารถ ออกฤทธิ์ต้านไวรัสในระดับเซลล์ได้ดีพอสมควร
เฉาปิน ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นผู้นำในโครงการทดลองยาเรมเดซิเวียร์ ระบุว่าการทดลองยาทั้ง 2 ส่วน เป็นไปอย่างราบรื่น และจีนจะแบ่งปันข้อมูลกับประชาคมนานาชาติหลังจากเสร็จสิ้นโครงการ
7. การทดลองปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ (STEM CELL)
จีนทำการวิจัยและทดลองใช้ ‘สเต็มเซลล์’ ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 หลายรายการ ซึ่งรวมถึงยาสเต็มเซลล์ที่ได้รับการอนุมัติสำหรับทดลองทางคลินิก และวิธีการบำบัดด้วยสเต็มเซลล์เนื้อเยื้อเกี่ยวพัน (mesenchymal)
แพทย์ได้ใช้วิธีดังกล่าวในการรักษาผู้ป่วยอาการรุนแรงและวิกฤต 64 ราย และได้รับการพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพในการลดปฏิกิริยาอักเสบรุนแรงที่เกิดจากโรคดังกล่าว รวมถึง ลดการบาดเจ็บในปอดและลดพังผืดในปอด ด้วย
ทั้งนี้ สมาคมชีววิทยาของเซลล์แห่งจีน (Chinese Society for Cell Biology) และสมาคมการแพทย์จีน (Chinese Medical Association) ร่วมกันออกแนวปฏิบัติเพื่อวางมาตรฐานการวิจัยทางคลินิกและการประยุกต์ใช้การบำบัดด้วยสเต็มเซลล์ต้านโรคโควิด-19
8. การฟอกเลือด
ที่ผ่านมามีการนำ เทคโนโลยีตับเทียม และ เทคโนโลยีฟอกเลือด มาใช้ในการรักษาผู้ป่วยอาการวิกฤต และพบว่าปัจจัยการอักเสบของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้ลดระดับลง ทั้งยังมีผลการตรวจทรวงอกที่ดีขึ้นด้วย
วิธีการรักษานี้ยังช่วยลดระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหายใจลดลงได้เฉลี่ย 7.7 วัน รวมถึงลดระยะเวลาเฝ้าระวังในห้องผู้ป่วยฉุกเฉินหรือไอซียูได้อีกด้วย
ที่มา: สำนักข่าวซินหัว