Finance

หวั่นบาทอ่อนฉุดกำไรบจ.ไตรมาส 2 ทรุด!!

set8

การที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งล่าสุดในผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2561 เริ่มสะท้อนออกมาบ้าง แม้จะยังไม่มีนัยสำคัญ แต่ถ้าทิศทางยังอ่อนค่า เชื่อว่าจะสะท้อนได้ชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ได้ประเมินผลกระทบจากเงินบาทที่อ่อนค่าในไตรมาส 2 ซึ่งประเมินว่า จะมีผลทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนหายไปประมาณ 4%

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง ประเมินว่า ภาพรวมกำไรของบริษัทจดทะเบียนในงวดไตรมาส 2 ของปีนี้จะเพิ่มขึ้น  6% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันปีก่อน แต่จะลดลง 21% หากเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2561 ขณะที่กำไรจากการดำเนินธุรกิจหลักคาดเพิ่มขึ้น 9% จากงวดเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 7% เทียบจากไตรมาส 1 ปี 2561

สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2 ปีนี้ คาดว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยจะได้รบผลกระทบจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน (FX loss) ครั้งประมาณ 4% ของกำไรรวมในไตรมาส 2 ปี 2561

สำหรับกลุ่มที่คาดกำไรจะเติบโตดี หากเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ กลุ่มการเงิน โรงพยาบาล ปิโตรเคมี พลังงาน ขนส่ง และท่องเที่ยว  โดยฝ่ายวิจัยคงประมาณการ กำไรสุทธิต่อหุ้นของตลาดอยู่ที่ 110.7 บาท สูงกว่า consensus เล็กน้อยที่ 109 บาท ทั้งนี้ เชื่อว่า กลุ่มโรงพยาบาลเป็นกลุ่มที่ดูปลอดภัยในบรรยากาศการลงทุนที่ยังมีความไม่แน่นอน และผันผวน

v1 1

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า กรณีเงินบาทอ่อนค่า จะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่จะเป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้า และวัตถุดิบ โดยบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับ sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และกลุ่มท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือ การแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT

ด้านบริษัทเสียประโยชน์คือบริษัทนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งบริษัทที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น

ประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ได้ประเมินว่า ภาพรวมของทิศทางค่าเงินบาทปีนี้ได้ปรับประมาณการเป็น 32.50 – 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะช่วยลดผลกระทบต่อประเทศไทยจากเงินทุนที่ไหลออกจากตลาดเกิดใหม่จะน้อยลง เนื่องจากกระแสเงินทุนจากต่างชาติตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านถึงปัจจุบันได้มีแรงขายออกไปแล้ว 2 แสนล้านบาท ซึ่งมีปริมาณการขายเหลือเพียงไม่มากอย่างมีนัยสำคัญแล้ว จึงคาดว่าจะทิศทางที่ชะลอตัวลง

สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทย ยังคงเป้าดัชนีสิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,898 จุด เนื่องด้วยมุมมองภาพรวมในประเทศยังคงเป็นบวก กำหนดการเลือกตั้งที่มีความชัดเจนมากขึ้น คาดว่าจะสามารถกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจนได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 โดยประเมินว่า ช่วงเวลาที่จะมีการจัดการเลือกตั้งอย่างเร็วที่สุดจะในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 และอย่างช้าเดือนพฤษภาคม 2562 และจะช่วยกระตุ้นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ส่งผลให้เอกชนหันกลับเข้าลงทุน น่าจะเป็นครึ่งหลังปี 2561 ไปจนถึงครึ่งแรกปี 2562 ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยที่ขับเคลื่อนตัวจีดีพีในประเทศเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีในปีนี้เป็นโต 4.5% จากเดิมโต 4.2% และในปี 2562 จะเติบโต 4.2%

v20

ทั้งนี้ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ระบุว่า บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2561 กำไรสุทธิอยู่ที่ 3,590.27 ล้านบาท ลดลงถึง 52% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,535.56 ล้านบาท ทำให้ครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 16,970.98 ล้านบาท ลดลง 14.37% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 19,819.75 ล้านบาท

แม้จะมีกำไรปกติในไตรมาส 2 ปี 2561จะอยู่ที่ 10,774 ล้านบาท แต่จากรายการขาดทุนที่ไม่ใช่จากการดำเนินงานปกติที่สูงถึง 7,184 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการขาดทุน และค่าใช้จ่ายภาษีจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์ระหว่างไตรมาส ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่กระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัท ส่งผลให้กำไรสุทธิในงวด 6 เดือนแรก ทำได้เพียง 16,970.98 ล้านบาท ลดลง 14.37% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ขณะที่ค่าเงินบาทคาดว่ายังคงมีความผันผวน และอ่อนค่าลงในครึ่งปีหลัง โดยมีปัจจัย ได้แก่ ความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินการคลังของประเทศอุตสาหกรรมหลัก สงครามการค้าของชาติมหาอานาจที่อาจกดดันการส่งออกของไทย และการเคลื่อนไหวตามสกุลเงินหลักในภูมิภาค ประกอบกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจยุโรปและความขัดแย้งทางการเมืองในหลายภูมิภาค อย่างไรก็ตามมีปัจจัยที่ต้องติดตามประกอบด้วย การเติบโตของเศรษฐกิจไทยและความชัดเจนในนโยบายการเลือกตั้ง ประกอบกับความเป็นไปได้ของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงปลายปี

ขณะที่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) SCC รายงานว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2561 บริษัทมีกำไรสุทธิ 12,401.21 ล้านบาท ลดลง 6เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 13,252.04 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนกำไรสุทธิ 24,807.62 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 30,637.84 ล้านบาท กำไรสุทธิงวด 6 เดือนลดลง 5,380.22 ล้านบาท คิดเป็น 19.03%

โดยไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้จากการขาย 120,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจส่วนใหญ่มีปริมาณขายและราคาขายเพิ่มขึ้น แต่กำไรสุทธิลดลง 6%เป็นไปตามผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์ (ผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า และต้นทุน Naphtha สูงขึ้น) และรายได้เงินปันผลรับจากการลงทุนในธุรกิจอื่นลดลง สำหรับผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรกของปี 2561 บริษัทมีรายได้จากการขาย 238,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากงวดเดียวกันของปีก่อนจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight