Business

ทำไมราคาน้ำมันถึงส่งผลต่อหุ้นไทยขนาดนี้!

สัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าจะบอกว่าเป็นวิกฤติตลาดหุ้นไทยก็คงได้ ด้วยดัชนีที่ลดต่ำไปแตะ 900 จุด ซึ่งจริงอยู่ว่าสาเหตุหนึ่ง มาจากผลของการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา COVID-19 อย่างไรก็ดี อีกเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ก็คือผลของราคาน้ำมันที่ร่วงแรง

เรื่องของเรื่องเริ่มมาจากผลการประชุมของกลุ่มผู้ค้าน้ำมัน OPEC ที่มีการเจรจาลดกำลังการผลิตน้ำมันนไม่สำเร็จ ทำให้ทางซาอุดิอาระเบีย ตัดสินใจประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ เหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบร่วงลงกว่า 30% ในวันเดียว 

ทันใดนั้นเมื่อเกิดเรื่องนี้ ตลาดหุ้นไทยก็ตอบรับปัจจัยลบทันที โดย SET Index ติดลบไปถึง 108.63 จุด หรือ 108.63 จุด 108.63 จุด ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงในรอบหลายปี และลุกลามมาจรเกิดเหตุการณ์ติดลบ 10% สองวันติด จนมีการใช้มาตรการ Circuit breaker (หยุดพักการซื้อขายชั่วคราว) ในรอบเกือบ 12 ปี 

คำถาม คือ ทำไมราคาน้ำมัน จึงส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยขนาดนี้ ? ทั้งที่ประเทศไทยเองก็ไม่ใช่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก และยังเป็นผู้นำเข้าเป็นส่วนมากด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ยิ่งราคาน้ำมันลด ก็ยิ่งส่งผลต่อกับไทยหรือเปล่า วันนี้ เราจะพาไปไขความลับเรื่องนี้กัน 

กราฟฟิก12
A Thai man watches a stock index board at a bank in Bangkok on October 18, 2016. / AFP PHOTO / MANAN VATSYAYANA (Photo credit should read MANAN VATSYAYANA/AFP via Getty Images)

“หุ้นกลุ่มพลังงาน สามารถชี้นำตลาดได้”

หุ้นกลุ่มพลังงานมีมูลค่าราว 4 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 20-25% หรือ 1 ใน 4 ของมูลค่าตลาดหุ้นไทยทั้งหมด โดยกลุ่มที่เด่นชัดที่สุด ก็คือธุรกิจเครือปตท. ได้แก่ PTT, PTTEP, PTTGC, TOP และ IRPC ที่รวมแค่นี้ก็กินมูลค่ากิจการตามราคาตลาดไปมากกว่า 1 ล้านล้านบาทแล้ว 

ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันจึงมีน้ำหนัก และส่งผลต่อตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ

“ราคาน้ำมันกับหุ้นพลังงาน”

แล้วราคาน้ำมันที่ลดลง กระทบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานอย่างไร มากน้อยแค่ไหน ขอยกตัวอย่างโดยแยกออกเป็นสายธุรกิจให้เห็นแบบชัดๆ ดังนี้

1. พลังงานต้นน้ำ (สำรวจขุดเจาะ)

พลังงานต้นน้ำ หรือธุรกิจสำรวจและขุดเจาะน้ำมัน เช่น หุ้น PTTEP เป็นธุรกิจที่อ่อนไหวต่อราคาน้ำมันมากที่สุด เพราะต้นทุนการขุดเจาะมักคงที่อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ไม่คงที่คือราคาขายที่ผันแปรตามราคาน้ำมัน 

พูดง่ายๆ คือ ยิ่งราคาน้ำมันถูก กำไรก็ยิ่งน้อย โดยมีการวิเคราะห์ว่า หากราคาน้ำมันลดลง 1 ดอลลาร์ กำไรของ PTTEP จะหายไป 900 ล้านบาท

2. พลังงานกลางน้ำ (โรงกลั่นและปิโตรเคมี)

หุ้นโรงกลั่นและปิโตรเคมี เช่น TOP, PTTGC, IRPC, SCC, IVL ในระยะสั้นช่วง 1 – 2 ไตรมาสนี้ จะได้รับผลกระทบจาก Stock Loss (ขาดทุนราคาน้ำมันจากการเก็บสต๊อก) 

อย่างไรก็ดี โดยภาพรวมแล้วการลดลงของราคาน้ำมัน จะเป็นผลดีต่อธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีในระยะยาว จากต้นทุนที่ถูกลง เพราะน้ำมันดิบเป็นต้นทุนหลักของอุตสาหกรรมนี้ ส่งผลให้อัตราการทำกำไรน่าจะขึ้น แต่ก็ต้องผ่านพ้นความลำบากในช่วงแรกไปให้ได้ก่อนนั่นเอง 

3. พลังงานปลายน้ำ (ค้าปลีก)

ธุรกิจค้าปลีก หรือ ปั๊มน้ำมัน เช่น PTG, SUSCO ดูเผินๆ แล้วเหมือนว่าจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง เพราะคนจะได้เติมน้ำมันมากขึ้น แต่ความจริงแล้ว ราคาน้ำมันที่ลดลง กลับเป็นผลเสียมากกว่า

เพราะว่าจะส่งผลให้ ค่าการตลาด ซึ่งเป็นมาร์จินของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันลดลง เนื่องจากสูตรคำนวณค่าการตลาดจะคิดอัตราส่วนจากเปอร์เซ็นต์ของราคาขาย แปลว่าหากราคาปรับตัวลง จำนวนเม็ดเงินจากยอดขายก็น้อยลงด้วย 

สรุปแล้วจะเห็นว่าราคาน้ำมันมีความเกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นไทยอย่างมาก และสามารถกำหนดทิศทางได้พอสมควรเลย ซึ่งไม่ใช่แค่ธุรกิจกลุ่มพลังงานเท่านั้น กลุ่มอื่นๆ อย่างเช่น สายการบิน หรือ ขนส่งสินค้า ก็มีความสัมพันธ์กับราคาไม่ต่างกัน

Avatar photo