Politics

คุก1 ปี 8 เดือน ‘ปลอดประสพ’ไม่รอลงอาญา คดีโยกย้ายลูกน้องไม่ชอบ

ศาลฎีกาพิพากษา จำคุก 1 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา “ปลอดประสพ” อดีตปลัดทส. ชดใช้ให้โจทก์ 1.4 ล้านบาท คดีโยกย้ายลูกน้องไม่ชอบ ผิดมาตรา 157

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาคดีนายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน อดีตผู้อำนวยการสำนักวิชาการป่าไม้ 9 และอดีตรองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง (ทช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายปลอดประสพ สุรัสวดี  อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

โดยศาลฎีกาพิพากษา ให้จำคุก นายปลอดประสพ รวม 1 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา เนื่องจากนายปลอดประสพ มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายตามมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ให้จำคุกรวม 1 ปี 8 เดือน โดยให้ออกหมายคดีถึงที่สุดด้วย

 

สำหรับคดีดังกล่าว คำฟ้องโจทก์ ระบุกรณีเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2546 นายบรรพต หงษ์ทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขณะนั้น มีคำสั่ง 399/2546 แต่งตัั้งนายวิฑูรย์ โจทก์ ดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนัก (นักวิชาการป่าไม้ 9) สำนักส่งเสริมการปลูกป่าเศรษฐกิจ กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรสหกรณ์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2546 แต่จากนั้นมีการตรา พ.ร.ฎ.โอนป่ากรมป่าไม้ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีผลเมื่อลงราชกิจจานุเบกษาวันที่ 30 ก.ย.2546 ขณะนั้นโจทก์ดำรงตำแหน่ง ผอ.กองการอนุญาต กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ต่อมาวันที่ 1 ต.ค.2546-12 พ.ย.2556 จำเลย ซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดทส.ได้ออกคำสั่งกระทรวง ทส 87/2546 เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2546 ให้ระงับการมอบหมายงานในหน้าที่ตามคำสั่ง 399/2546 ซึ่งแต่งตั้งโจทก์ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนัก (นักวิชาการป่าไม้ 9) โดยให้ถือว่าเป็นการยกเลิกคำสั่งดังกล่าวไว้ก่อน อันเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยไม่ชอบ เพื่อยังยั้งไม่ให้ โจทก์ได้เลื่อนตำแหน่ง สาเหตุเนื่องจากโจทก์กับจำเลยมีเรื่องโกรธเคืองในเรื่องส่วนตัวกันมาก่อน

ปลอดประสพ สุรัสวดี4

กระทั่งวันที่ 12 พ.ย.2546 จำเลยกลั่นแกล้งโจทก์ ด้วยการให้นายดำรงค์ พิเดช ออกคำสั่งกรมป่าไม้ ที่ 543/2546 ย้ายโจทก์ไปตำแหน่ง “ป่าไม้จังหวัดอำนาจเจริญ” ซึ่งเป็นตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญระดับ 8 เป็นการย้ายให้ปฏิบัติหน้าที่ต่ำกว่าระดับเดิม

อีกทั้งก็ไม่ใช่ความจำเป็นที่ต้องรีบดำเนินการ และจำเลยก็ทราบดีว่านายดำรงค์ ไม่มีอำนาจสั่งย้ายโจทก์ ดังนั้นคำสั่งย้ายที่จำเลย ให้ความเห็นชอบนั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทำของจำเลย จึงเป็นผลให้โจทก์ ได้รับความเสียหายต่อเสียชื่อเสียง และเสียสิทธิไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นระดับ 9 จึงขอให้ชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ด้วย 2 ล้านบาท โดยนายปลอดประสพ จำเลย ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีโดยตลอด

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2560 เห็นว่าการที่จำเลยมีคำสั่งไม่แต่งตั้งโจทก์ให้เลื่อนขั้นเป็นข้าราชการระดับ 9 ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหายทั้งที่โจทก์มีคุณสมบัติจะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บริหารได้ จึงให้จำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท ลงโทษจำคุกให้รอลงอาญา ไว้ 2 ปี และให้จำเลย ชดใช้เงินค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย 1.4 ล้านบาท

ต่อมาศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 เม.ย.2561 เห็นว่า การย้ายโจทก์เพียงคนเดียวและในระดับที่ต่ำกว่าเดิม ด้วยเสมือนเป็นการลงโทษ โดยโจทก์กับจำเลยเคยมีข้อพิพาทกันเมื่อปี 2541

ขณะที่คำสั่งให้โจทก์ได้เลื่อนชั้นดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักงานวิชาการ 9 ก็ชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยให้ยกเลิกคำสั่งนั้น จึงกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย และน่าเชื่อว่ามาจากกรณีจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองโจทก์มาก่อน และเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ และเมื่อพิจารณาการกระทำที่จำเลยให้รับโอนนายดำรงค์ มาซ้อนตำแหน่งโจทก์ที่โจทก์ได้รับการแต่งตั้งโดยชอบด้วยกฎหมาย ก็อาจทำให้เกิดปัญหาว่าการปฏิบัติราชการของนายดำรงค์ต่อการออกคำสั่ง-ประกาศต่างๆ ของกรมป่าไม้ว่ามีความถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการได้

พฤติการณ์นับว่าเป็นความผิดร้ายแรง จึงไม่เห็นสมควรรอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์ฯ จึงพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิด ตาม ม.157 ประกอบมาตรา 84 อีกกรรมหนึ่งที่ใช้ให้นายดำรงค์โยกย้ายโจทก์ จึงให้จำคุก 2 กระทงๆ ละ 1 ปี รวมโทษจำคุกทั้งสิ้น 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ ก็ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 1.4 ล้านบาทด้วย

ขณะที่นายปลอดประสพ จำเลย ได้ยื่นฎีกาต่อสู้คดี และได้ประกันตัวระหว่างฎีกา ด้วยหลักทรัพย์ 400,000 บาท แต่เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2563 ที่ผ่านมา นายปลอดประสพ ไม่มาศาลตามนัดฟังคำพิพากษาฎีกา ศาลมีคำสั่งให้ปรับนายประกันเต็มจำนวน และให้ออกหมายจับนายปลอดประสพ มาฟังคำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาวันนี้ ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า การกระทำของนายปลอดประสพ จำเลย ขณะดำรงตำแหน่งปลัด ทส. ที่ให้นายดำรงค์ ออกคำสั่งใหม่ให้นายวิฑูรย์ โจทก์ย้ายไปดำรงตำแหน่งป่าไม้จังหวัดอำนาจเจริญนั้น เป็นตำแหน่งข้าราชการพลเรือนระดับ 8 เป็นการย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ต่ำกว่าระดับเดิม และเป็นการโยกย้ายโดยเร่งด่วน ไม่ได้หารือต่อคณะกรรมการ ที่จำเลยอ้างว่ามีปัญหาเรื่องตำแหน่งใหม่ของโจทก์

เมื่อมีการโอนย้ายสังกัดกรมป่าไม้จากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาสังกัดกระทรวงทรัพยากรฯ ซึ่งจากคำเบิกความของพยานที่ตอบคำถามยังได้ความว่าตำแหน่ง ผอ.สำนักงานวิชาการ 9 นั้น ก็จะมีกระบวนการสรรหาผู้มีคุณสมบัติซึ่งโจทก์ก็มีคุณสมบัติ จึงต่างจากที่จำเลยอ้าง

ดังนั้นการออกคำสั่งยกเลิกการแต่งตั้งโจทก์ และการย้ายนายดำรงค์มาในตำแหน่งทับซ้อนกับโจทก์จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้ได้รับความเสียหายและทางเจริญก้าวหน้าในอาชีพของโจทก์  การแต่งตั้งโยกย้ายระบบราชการนอกจากความเหมาะสมแล้ว จะต้องคำนึงถึงคุณธรรมและธรรมาภิบาล

แต่เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์ของจำเลยแล้ว เป็นการกระทำที่ทำลายระบบคุณธรรมและธรรมาภิบาลในระบบราชการ จึงไม่ควรรอการลงโทษ และที่ศาลอุทธรณ์ฯ กำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 1.4 ล้านบาท นั้นเหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายตามมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ให้จำคุกรวม 1 ปี 8 เดือน โดยให้ออกหมายคดีถึงที่สุดด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังได้รับฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ถือเป็นที่สิ้นสุดตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัว นายปลอดประสพ ไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯเพื่อรับโทษ

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight