พรรคเพื่อไทย จัดสัมมนาเปิดตัวโครงการระดมความคิดเพื่อพัฒนาชุดนโยบายสาธารณะ หัวข้อ “ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ 2020” มี นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรค และนายวิโรจน์ อาลี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมสัมมนา
นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วิเคราะห์ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยตอนหนึ่งว่า เราอยู่ในวิกฤติการณ์การเมือง กฎหมาย และเศรษฐกิจแล้ว ทำลายโครางสร้างต่างๆพังทลายทั้งสิ้น เป็นวิกฤติการณ์ที่ประเทศไทยไม่เคยพบมาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กระบวนการยุติธรรมที่เคยเป็นที่พึ่งของประชาชนต้องพบกับวิกฤติจนกระทบความเชื่อมั่นและความศรัทธา ถือว่าเป็น มหาวิกฤติการณ์
สำหรับปัญหาทางเศรษฐกิจ ทราบดีว่าประเทศไทยต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก 70% ของรายได้ประชาชาติ เมื่อตนได้ยินรองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาลพูดว่าการส่งออกไม่มีความสำคัญ สามารถมีมาตรการรองรับภายในได้นั้น เป็นคำพูดที่ โง่เขลา เป็นคำพูดที่ ไม่รู้เรื่อง คงจะหลอกทหารได้ แต่หลอกพวกเราในกระบวนการเศรษฐกิจและการเงินและการผลิตไม่ได้ หากประเทศไทยไม่ส่งออกและไม่มีนักท่องเที่ยว จะเหลือรายได้แค่ 30% เจอกับปัญหาแน่
“ไทยเป็นประเทศที่เน้นส่งออกและการบริการ เศรษฐกิจโลกดีเราก็จะดีไปด้วย เราไม่สามารถเป็นผู้กำหนดราคาได้ทั้ง ข้าว น้ำตาล ยางพาราและมันสำปะหลัง เว้นแต่ราคาสินค้าเกษตรที่เป็นเงินบาท ยังพอกำหนดราคาได้ผ่านการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน แต่ปรากฏว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ไม่ได้มีความรู้เรื่องเหล่านี้เลย หลังจากผู้ว่าธปท. บอกว่าอัตราแลกเปลี่ยนไม่มีผลต่อการส่งออก ถ้าผมเป็นนายกฯ คงต้องหาทางปลดผู้ว่าธปท. ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ด้วยความโง่เขลาของรัฐบาลทหารไม่ทำเพราะไม่มีความรู้ เหมือนกับเอาคนตาบอดมาทำงานร่วมกัน ต่างคนต่างตา” นายวีรพงษ์ กล่าว
เศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ ค่าเงินบาทแข็งขึ้น จะทำให้การส่งออกขยายตัวช้าลง และเงินบาทอ่อนครั้งนี้ เป็นเพราะการคาดการณ์ผิดเกี่ยวกับการแพร่ของโคโรน่าไวรัส ที่ไม่อยู่ในโมเดล อยู่ดีๆนักท่องเที่ยวหายไปหมดเลย การพยายามจะอาศัยการท่องเที่ยวเป็นตัวช่วย ทุกอย่างผิดพลาดหมด
“ปีที่แล้วเป็นการเผาหลอก ต้นปีนี้จะเป็นการเผาจริง ปลายปีจะเก็บกระดูกไปลอยอังคาร ขอให้เตรียมการไว้ ที่พูดแบบนี้ไม่ได้พูดเพราะไม่ได้ชอบรัฐบาล แต่ผมพูดจากตัวเลข และข้อมูลที่เกิดขึ้น การแจกเงินด้วยการใช้เงินสดก็ไม่ทั่วถึง รัฐควรประกันรายได้ให้คนชนชั้นล่างและลดภาษีให้กับคนชนชั้นกลาง ขณะที่โครงการชิม ช้อป ใช้ ก็ไม่มีประโยชน์ เอาไว้หลอกป่าหี่เท่านั้น”
ถามว่าจะเป็นอย่างนี้อีกนานหรือไม่ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาคิดว่าจะอยู่อีก 10 ปี แต่เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้เข้ามาตอนเศรษฐกิจเริ่มลงแล้วมา 5 ปี คิดว่าน่าจะเหลืออีก 5 ปีเราถึงจะฟื้นต้องมีสัญญาณมาจากเศรษฐกิจโลก
“ต้องรีบเรียกร้องให้ประชาธิปไตยกลับคืนมา การปกครองเผด็จการทหารเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเจรจาการค้าและการลงทุนกับต่างประเทศ การขอเรียกร้องให้ประชาธิปไตยกลับคืนมา ต้องเปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตย เพราะนักการเมืองในระบบประชาธิปไตยจะอยู่ไม่ได้ถ้าเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ แต่รัฐบาลทหารอยู่ได้สบายใจ สมมติเวลานี้มีรัฐบาลจากการเลือกตั้งจะนั่งก้นไม่ติดแล้ว อยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องทำทุกทางเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจเลวร้ายไปกว่านี้” นายวีรพงษ์ กล่าว