กว่าจะลงตัวว่าใครอยู่ใครไปสำหรับคณะกรรมการพลังงาน หรือกกพ. เรียกว่าแทบมองหน้ากันไม่ติด กับแผนการที่ให้กรรมการลาออกครึ่งหนึ่งในบอร์ดกกพ. โดยยกกฎหมายมาอ้างอิงตามวาระอยู่ได้ 6 ปี แต่เมื่อครบ 3 ปี กรรมการต้องจับสลากออกครึ่งหนึ่ง แต่ที่อดสงสัยไม่ได้ทำไมปล่อยให้กรรมการชุดนี้อยู่ยาวนานถึง 4 ปีแล้วค่อยมาบอกว่าต้องออกครึ่ง ทำไมไม่จัดการตั้งแต่ตอนที่ครบ 3 ปี
ถึงอย่างไรกรรมการชุดนี้ก็ก่อกำเนิดเกิดขึ้นมา ในยุคของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ได้ออกประกาศฉบับที่ 95/2557 ไปเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 ทำไมถึงปล่อยให้อยู่เกินวาระมาได้ขนาดนี้ หรือเป็นเพราะ ใครส่งสัญญาณ อยากจะส่งคนของตัวเองเข้ามานั่งควบคุมและกำกับกิจการพลังงานเสียเอง
มีการพูดกันถึงขั้นที่ว่าก่อนหน้านี้รัฐมนตรีพลังงาน สะกิดให้ วีระพล จิรประดิษฐกุล โฆษกเรกูเลเตอร์ ไปแจ้งข่าวส่งสัญญาณให้กรรมการลาออกครึ่งหนึ่ง แต่ดูเหมือน วีระพล ใจไม่ถึงพอใจจะไปแจ้งให้ใครลาออกง่ายๆ
ปัญหาไม่จบสิ้นทำเอาผู้ใหญ่ในรัฐบาล ถึงกับต้องยืมมือ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เข้ามาจัดการเรื่องนี้ สุดท้ายก็ต้องเรียกกรรมการทั้ง 6 คน เข้าไปเกลี้ยกล่อม ขอให้ลาออกครึ่งหนึ่ง แต่การพูดคุยวันนั้นไม่ได้เบ็ดเสร็จ เลยบอกให้กรรมการไปจัดการให้เวลา 1 สัปดาห์ต้องได้ข้อสรุป
สงสัยเหลือเกินทำไมต้องเร่งรีบกันขนาดนี้ หากเทียบกับเวลาที่ต้องอยู่ตามกฎหมาย มันก็ล่วงเลยมาเป็นปีแล้ว แต่ตอนนี้ทำไมถึงต้องเร่งรีบกันขนาดนี้ หนักไปกว่านี้มีการส่งสัญญาณทำนอง หากไม่มีใครออก อาจต้อง ใช้ม.44 เข้ามาจัดการเรียกว่า“ปลดยกชุด”เลย ไหนๆจะเปลี่ยนกรรมการแล้วทำไมไม่ปลดยกชุดไปเสียเลย
ถึงบางอ้อ..ก็เพราะมีลูกรักอยู่ 2 คน หากใช้วิธีปลดยกชุดอาจกระทบลูกรักเป็นได้
เมื่อสถานการณ์งวดเข้าๆ แน่นอนกรรมการที่มีอายุเข้าข่ายจะครบ 70 ปีในปีหน้าอย่าง “ดวงมณี โกมารทัต” และ ” วิไลพร ลิ่วเกษมศานต์” ก็ต้องประกาศตัวลุกจากเก้าอี้กรรมการ เพราะก่อนหน้านี้กรรมการแต่ละคนดูยังนิ่งเฉย
คนเก่ายังไม่ทันลุกจากเก้าอี้ คนใหม่ก็ดูเหมือนกำลังจะเสียบเข้ามาซะอย่างนั้น มี 3 ตัวเต็ง ทั้งท่าน ณ. ท่าน ก. และท่าน ส. เรียงหน้ากันเข้ามาซะอย่างนั้น เลยไม่แน่ใจว่าการเร่งรีบให้กรรมการชุดเก่าออกเร็วๆ เพราะมีคนในใจอยู่แล้วหรือ อันที่จริงหากรอได้ปีหน้า ก็จะมีกรรมการ 2 คน ที่อายุครบ 70 ปีอยู่แล้ว แต่อาจจะห้วงเวลาไม่เอื้อที่จะให้รอเวลาหรืออย่างไร
ยังไงๆระหว่างนี้อาจเป็นช่วงโค้งสุดท้ายแล้ว ฉะนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ ส่วนใครจะเข้ามาหวังว่าคงมองประเทศชาติเป็นที่ตั้ง อย่าเข้ามาเพียงเพื่อสนองธุรกิจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างที่มีการตั้งข้อสังเกตกันเวลานี้ก็แล้วกัน!!