นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมคณะ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย, คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายนริศ ขำนุรักษ์ สส. จังหวัดพัทลุง, นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายศรายุทธ ยิ้มยวน รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ลงพื้นที่ชี้แจงโครงการประกันรายได้ให้เกษตรกร และกำนันผู้ใหญ่บ้าน ที่เทศบาลตำบลควนขนุน จังหวัดพัทลุง
นายจุรินทร์ กล่าวกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และข้าราชการ ช่วยกันชี้แจงประชาชนให้รับทราบนโยบายสำคัญของรัฐบาล คือ นโยบายประกันรายได้เกษตรกร ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ใน การประกันรายได้เกษตรกรในพืช 5 ชนิด ได้แก่ 1. ข้าว 2. ยาง 3. ปาล์ม 4. มันสำปะหลัง และ 5. ข้าวโพด
ตอนนี้ขอชี้แจง 3 ชนิด คือ ข้าว, ยาง และปาล์ม เพื่อให้เข้าใจว่าการประกันรายได้ไม่ใช่การประกันราคา ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดเรื่องการประกันราคา ไม่มีประเทศไหนในโลก สามารถประกันราคาได้ เพราะราคาขึ้นอยู่กับกลไกตลาด ถ้าผลผลิตมากความต้องการไม่มี ราคาก็ตก ถ้าผลผลิตน้อยความต้องการมากราคาก็แพง ประเทศไหนก็ประกันราคาไม่ได้ ซึ่งขัดหลักการขององค์การการค้าโลกหรือ WTO และเป็นปัญหาทางการค้ากับประเทศอื่นๆ ในโลก แต่การประกันรายได้นั้นสามารถทำได้
โครงการประกันรายได้เป็นหนึ่งในนโยบายรัฐบาล ราคาพืชผลทางการเกษตรมีขึ้น-ลงตามความต้องการซื้อ และผลผลิตแต่ละปี เกษตรกรควรมีรายได้ขั้นต่ำที่แน่นอนเพื่อที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี หากราคาไม่แน่นอน ราคาเหลือน้อยก็ลำบาก ดังนั้น รัฐบาลมีนโยบายประกันรายได้เพื่อให้เกษตรกรมีหลักประกันในเรื่องรายได้ ยางแผ่นดิบชั้นสามคุณภาพมาตรฐาน ประกันรายได้ที่กิโลกรัมละ 60 บาท และยางก้อนถ้วยที่กิโลกรัมละ 23 บาท ถ้าทำยางก้อนถ้วยได้ราคาตลาดที่กิโลกรัมละ 25 บาท จะไม่ได้รับเงินส่วนต่างจากรายได้ที่ประกัน เมื่อมีนโยบายประกันรายได้เกษตรกร ชาวสวนยางจะมีหลักประกันต่อไปนี้ มีรายได้ 2 ทางคือจากการเอายางไปขายในตลาดได้เท่าไหร่ได้เท่านั้น ถ้าราคาตกได้เงินน้อย ราคาดีได้เงินมาก ไม่มีความแน่นอน แต่ต่อไปนี้จะมีเงินอีกก้อนหนึ่งเรียกว่าเงินส่วนต่าง โดยรัฐบาลจะโอนเงินผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เข้าบัญชีธนาคารของเกษตรกรตรงโดยไม่ตกหล่นหาย
นโยบายประกันรายได้เป็นนโยบายที่ช่วยให้เกษตกรมีรายได้สองกระเป๋า แม้ราคายางจะตกลงมา แต่เกษตรกรไม่ต้องเป็นกังวล มีคำถามมากมายว่า สวนยางไม่มีโฉนด ต้องทำอย่างไร ถ้ามีบัตรสีชมพูต้องไปขึ้นทะเบียนเลย บัตรสีชมพูที่เข้าโครงการประกันรายได้ จะได้รับเงินส่วนต่างเหมือนกัน ช่วงที่ผ่านมามีปัญหาคือ การไปตรวจสวนยางโดยการยางแห่งประเทศไทยล่าช้า เพราะก่อนรับเงินส่วนต่างต้องมี การตรวจสวนก่อนว่ามีกี่ไร่ ทำยางชนิดไหน ยางแต่ละชนิดได้รับเงินส่วนต่างไม่เท่ากัน จึงต้องมีการตรวจสวนเสียก่อน ทำให้ความล่าช้าในการโอนเงิน กระทรวงพาณิชย์ กับ กระทรวงเกษตร จีงเปลี่ยนกระบวนการดูแล ให้เจ้าของสวนแจ้งผู้ใหญ่บ้าน แล้วให้ผู้ใหญ่บ้านรับรองตามความเป็นจริง เสร็จแล้วจีงเอาทะเบียนเพื่อรับเงินส่วนต่าง ธกส. รายงานแล้วว่า มีบัตรสีเขียวจ่ายไปเกือบหมดแล้ว แต่บัตรสีชมพูยังค้างอยู่มาก บัตรสีชมพูมีอยู่ประมาณ 10,000 ราย 10,000 ครอบครัว
ส่วนการประกันรายได้ปาล์มน้ำมัน มีการประกันที่กิโลกรัมละ 4 บาทที่น้ำมัน 18% ถ้าราคาปาล์มขึ้นเกิน 4 บาท คือขายราคาได้สูงกว่าราคาประกัน หากต่ำกว่า 4 บาทจะได้รับเงินส่วนต่าง ปาล์มราคาสูงก็ยิ่งดีต่อเกษตรกร ไม่ได้มีแต่ประกันรายได้อย่างเดียว ต้องมีมาตรการเสริมคือ
1. มีนโยบายเร่งรัดให้กระทรวงพลังงานบังคับใช้น้ำมันบี 10 ให้เร็วที่สุด ซึ่งกระทรวงพลังงานออกนโยบายใช้น้ำมันบี10 มีส่วนช่วยให้น้ำมันปาล์มราคาดีขึ้น ถ้าผลผลิตมีส่วนเกินจากการบริโภค ความต้องการใช้กับการผลิตจะเข้าสู่จุดดุลยภาพ จะช่วยให้ราคาปาล์มมีเสถียรภาพมาก
2. เรื่องการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์ม วิธีที่ทำคือทำเป็นกระบวนการโดยขอผ่านแดนไปด่านศุลกากรแล้วอ้างว่าไปส่งออกประเทศที่สาม เช่น ลาว, เขมร, เมียนมา แต่เมื่อได้เข้ามาในประเทศแล้ว ทำน้ำมันหกอยู่ในประเทศ ที่เป็นปัญหามาโดยตลอด
วิธีการแก้ปัญหา นายจุรินทร์แจ้งว่ากระทรวงพาณิชย์ได้เสนอครม. ให้ การนำเข้าน้ำมันปาล์ม หรือการขอนำน้ำมันปาล์มข้ามแดนประเทศไทยไปประเทศที่สาม ทำโดยเสรีไม่ได้ ทางบกไม่อนุญาต และ ทางเรือ – อนุญาตให้นำเข้าสามด่านในประเทศไทย ได้แก่ ท่าเรือคลองเตย, ท่าเรือมาบตาพุด และ ท่าเรือแหลมฉบัง ถ้า นำผ่านแดน ให้นำเข้าได้ ด่านเดียวคือท่าเรือคลองเตย แล้ว นำออก ได้ 3 ด่าน ภาคตะวันออกที่ด่านจันทบุรี ลาวได้ที่ด่านหนองคาย และทางเมียนม่าได้ที่ด่านแม่สอดเท่านั้น กำลังมีการออกประกาศอย่างเป็นทางการเร็วๆ การลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มจะยากขึ้น จะมีส่วนช่วยในการพยุงราคาปาล์ม และมีการกำหนดให้สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบมีแท็งค์ ต้องติดมิเตอร์ ให้เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ไปวัดตรวจสอบตามโรงหีบ ถ้าติดมิเตอร์แบบเรียลไทม์ จะรู้และไปกดราคารับซื้อได้ มีการเสนอเข้าที่ประชุมครม. และดำเนินการตามกระบวนการ ส่วนเรื่องการส่งออกตลาดอินเดีย ที่ยังมีอนาคตสำหรับปาล์ม และเรื่องบัตรสีชมพูก็ได้รับสิทธิ์เหมือนกัน
ส่วนการประกันรายได้ข้าว ได้มีการโอนเงินส่วนต่างแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม โอนทุกสัปดาห์จนกว่าจะหมดฤดูกาลผลิต จึงอยากให้เกษตรกรรับทราบแนวทาง และนำไปถ่ายทอดต่อ ถ้าติดขัดตรงไหนขอให้แจ้งไปที่พาณิชย์จังหวัดสำหรับปาล์มและข้าว ส่วนยางพาราให้แจ้งที่การยางแห่งประเทศไทย
