“ปลัดพาณิชย์”ถกแพลตฟอร์มออนไลน์ชื่อดัง ทั้ง ช้อปปี้ (Shopee), เจดี เซ็นทรัล (JD Central) และ ลาซาด้า (Lazada) แก้ปัญหาขายหน้ากากอนามัยทางออนไลน์สูงเกินจริง เจ้าของแพลตฟอร์มรับปากดูแล หากแจ้งแล้วไม่ฟัง ปิดกั้นการมองเห็น หนักสุดคือบล็อกไปเลย ชี้ราคาเหมาะสมไม่ควรเกิน 2.50 บาทต่อแผ่น หากเกินเป็นหน้าที่คนขายต้องชี้แจงตอนโดนจับ ลั่นพวกขายผ่านเฟซบุ๊ก ไอจี ไลน์ อย่าคิดว่าตามไม่เจอ ยันจะตามจับถึงบ้าน
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับแพลตฟอร์มออนไลน์ชื่อดัง ทั้ง Shopee , JD Central และ Lazada เพื่อแก้ไขปัญหาการขายหน้ากากอนามัยทางออนไลน์ราคาแพงเกินจริง ว่า ทางแพลตฟอร์มผู้ให้บริการเป็นตัวกลางซื้อขายออนไลน์ทั้ง 3 แห่ง ได้รับที่จะไปดำเนินการควบคุมผู้ค้าที่นำสินค้ามาจำหน่ายบนแพลตฟอร์มไม่ให้ขายหน้ากากอนามัยแพงเกินสมควร เพราะมีระบบตรวจสอบการจำหน่ายของผู้ค้าที่อยู่บนแพลตฟอร์มอยู่แล้ว
หากพบขายแพงเกินจริง ก็จะแจ้งไปยังผู้ค้าให้เลิกขายแพง ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็จะปิดกั้นการมองเห็น หรือหนักสุดคือการบล็อกไม่ให้ร้านค้าปรากฏบนแพลตฟอร์มอีกต่อไป และได้รับที่จะนำข่าวสารไปกระจายไปยังผู้ค้าที่อยู่ในระบบ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ทันที หรืออย่างช้าภายในวันพรุ่งนี้ (12 ก.พ.)
สำหรับการจำหน่ายที่จะบอกว่าแพงหรือไม่แพง มีหลักการพิจารณาโดยใช้ราคาพื้นฐานที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เช่น กระทรวงพาณิชย์รับจากผู้ผลิตมาจำหน่ายให้กับประชาชนในราคาแผ่นละ 2.50 บาท ที่ทำเนียบรัฐบาลก็จำหน่ายในราคาแผ่นละ 2.50 บาท หรือในห้างและร้านค้าทั่วไป จำหน่ายเฉลี่ยแผ่นละ 2.00-2.50 บาท
ถ้ามีการขายในราคาสูงไปจากนี้ ก็ต้องชี้แจงให้ได้ว่าต้นทุน หรือคุณภาพเป็นอย่างไร เพราะอาจจะแตกต่างกันได้ แต่ถ้าชี้แจงไม่ได้ ก็จะมีการจับกุม และจากนั้นก็หน้าที่ของผู้ขายที่จะต้องพิสูจน์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าที่ขายอยู่แพงหรือไม่แพงเพราะอะไร ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย
“อยากฝากถึงผู้ค้า อย่าคิดว่าแค่ปิดป้ายแสดงราคา บอกให้คนซื้อรู้ราคาแล้วก็จบ เพราะตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ มีหลายมาตราที่จะเข้ามาดูแลเรื่องราคา อย่าเรื่องมาตรา 28 เป็นเรื่องให้ปิดป้ายแสดงราคา แต่เมื่อปิดแล้ว กลับขายราคาแพง ก็เป็นเรื่องของมาตรา 29 ที่จะเข้าไปดูเรื่องค้ากำไรเกินควรหรือไม่ ถ้าค้ากำไรเกินควรก็ผิด และยืนยันว่าตามเจอทุกราย ถ้ามีคนร้องเข้ามา กระทรวงพาณิชย์จะประสานไปยังแพลตฟอร์มทั้ง 3 ราย เพื่อขอข้อมูลผู้ขาย ตอนนี้ ก็จะรู้ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน จะตามไปจับตัวมาดำเนินคดีทั้งหมด”
นายบุณยฤทธิ์กล่าวว่า การจำหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นๆ เช่น เฟซบุ๊ก ไอจี ไลน์ ที่ปัจจุบันแม้จะตามตัวได้ไม่ง่ายนัก แต่กระทรวงฯ ยืนยันว่าจะตามให้ได้ จะตามจับเหมือนกับที่รัฐบาลได้ติดตามจับตัวพวกที่สร้างข่าวเฟกนิวส์ ลักษณะการดำเนินการจะตามแบบนั้น ขอยืนยันว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะตามไป ถ้ามีประชาชนร้องเข้ามา อย่าคิดว่าอยู่ในโลกออนไลน์แล้วจะหนีกฎหมายได้
กระทรวงยังขอความร่วมมือจากประชาชน หากพบเห็นการจำหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินจริง ทั้งตามร้านค้า หรือทางออนไลน์ ขอให้แจ้งข้อมูลเข้ามาผ่านทางสายด่วน 1569 และขอให้ระบุชื่อร้าน สถานที่ตั้ง ที่อยู่ของร้าน และพฤติกรรมการจำหน่ายให้ชัดเจน หรือทางออนไลน์ ขอให้ระบุราคาขาย ชื่อร้าน ผู้จำหน่าย หรือรายละเอียดอื่นๆ โดยยืนยันว่าจะเก็บข้อมูลของผู้แจ้งเป็นความลับ ไม่ต้องกังวล โดยมีผลการดำเนินการจับกุมผู้ค้าหน้ากากอนามัยแพงเกินจริงล่าสุดรวม 18 ราย แยกเป็นในกรุงเทพฯ 14 ราย และต่างจังหวัด 4 ราย ที่ชลบุรี สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต
อย่างไรก็ตาม ทางด้านการแก้ปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยและหาซื้อได้ยาก ได้เปิดจำหน่ายที่กระทรวงพาณิชย์ ในราคาชิ้นละ 2.50 บาท จำกัดการซื้อไม่เกิน 10 ชิ้น และได้กระจายไปจำหน่ายให้กับประชาชนในต่างจังหวัดผ่านร้านธงฟ้าประมาณ 800 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งทุกร้านได้รับสินค้าแล้ว และจะทยอยส่งเพิ่มอย่างต่อเนื่อง