ก๊าซธรรมชาตินับว่ามีบทบาทในกิจการไฟฟ้าของประเทศอย่างยิ่งยวด ขณะที่เชื้อเพลิงถ่านหินแทบจะเรียกว่า “ปิดประตูตาย” เมื่อความต้องการมากขึ้น ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยไม่เพียงพอกับความต้องการ การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จึงเป็นเรื่องจำเป็นโดยปริยาย
มาดูโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติของไทยในวันนี้ แหล่งก๊าซธรรมชาติในบ้านเรามาจากอ่าวไทย 70% เมียนมา 18% บนบก 3% และ LNG 9% รวมกำลังผลิต 4,761 ล้านลบ.ม.ต่อวัน ปลายทางไปที่โรงแยกก๊าซฯ 20 % อีก 59 % ใช้เพื่อผลิตไฟฟ้า 14% ใช้ในภาคอุตสาหกรรม และ 7% ใช้เป็นก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)
5ปัจจัยผลักให้ LNG โตก้าวกระโดด
จะเห็นได้ว่า LNG มีสัดส่วนวันนี้เพียง 9-10 % หรือราว 600 ล้านลบ.ฟุต/วัน แต่กำลังถูกจับตามอง ด้วยเป็นธุรกิจที่จะเติบโตก้าวกระโดดนับจากนี้
จาก 5 ปัจจัย ดังนี้
- ปี 2565-2566 แหล่งก๊าซฯในอ่ายไทยหลักๆ อย่าง เอราวัณ และบงกช ที่ผลิตก๊าซฯได้ 2,100 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน จะหมดอายุสัมปทาน
- ปี 2566-2567 สัญญาแหล่งก๊าซในเมียนมาจะทยอยหมดอายุ
- แหล่ง JDA ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียจะสิ้นสุดสัมปทานปี 2570
- โรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ จากการคัดค้านของกลุ่มคนมากหน้าหลายตา
- ราคา LNG ตลาดโลกก็ต่ำลงจากต้นปี 2557 ที่ 19-20 ดอลาร์/ล้านบีทียู ลดลงกว่าครึ่งมาอยู่ในระดับ 6-8 ดอลลาร์ในช่วง 1-2 ปีนี้ จากการทำสงครามราคาระหว่างสหรัฐและรัสเซียผู้ผลิต LNG รายใหญ่
ปี 77 ไทยต้องพึ่ง LNG 100%
ด้วยปัจจัยทั้งหมด โรงไฟฟ้าก๊าซฯ จึงเป็นโรงไฟฟ้าหลักต่อไป และ LNG คือพระเอกในระยะยาว ตามแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติปี 2558-2579 และการคาดการณ์ของกระทรวงพลังงาน ระบุว่า นับจากนี้ จะได้เห็นตำแหน่งของ LNG ประเทศไทย 3 ด้านสำคัญ คือ
- ปี2564-2566 จะมี LNG สัดส่วนนำเข้ารวม 40% หรือ 2,000 ล้านลบ.ฟุต/วัน
- ปี 2570 สัดส่วนนำเข้าจะเพิ่มเป็น 50-60%
- ต้องพึ่งพา LNG นำเข้า 100% นับจากปี 2577
- นำเข้า LNG มากถึง 5,500 ล้านลบ.ฟุต/วัน หรือ 40 ล้านตัน/ปี ตั้งแต่ปี 2573
นอกจาก LNG เป็นกิจการที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดดในประเทศแล้ว รอบบ้านเราก็มีแนวโน้มเติบโตด้วยเช่นกัน ปตท.จึงมีแผนธุรกิจอย่างจริงจังที่จะเป็นผู้นำเข้าและขายให้กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา กัมพูชา อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
ประเทศเหล่านี้มีความต้องการใช้ LNG เพื่อผลิตไฟฟ้าในประเทศเช่นเดียวกัน โดยทำสัญญาซื้อขายกับกาตาร์ 2 ล้านตัน/ปี บริษัท เชลล์ บีพี 2 ล้านตัน/ปี และบริษัท ปิโตรนาส 1.2 ล้านตัน/ปี รวมเป็น 5.2 ล้านตัน การันตีว่าปตท.จะเดินหน้ากิจการนี้อย่างจริงจัง
เมื่อเป็นธุรกิจที่หอมหวน กระแสการเรียกร้องของผู้ประกอบการที่ต้องการแบ่งเค้กก้อนนี้บ้างจึงเกิดขึ้น นำมาสู่การปรับโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติของประเทศ จากเดิมที่การนำเข้า และจำหน่ายผูกขาดไว้ที่ปตท. และฝ่ายกำกับดูแลก็เข้ามามีบทบาท
3 ขั้นสู่เปิดเสรี
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วางแนวทางการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซฯ แบ่งเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย
ระยะที่ 1 เปลี่ยนโครงสร้างให้มีการแข่งขัน โดยให้ปตท.แยกธุรกิจท่อก๊าซให้เป็นอิสระจากการจัดหาและการขาย โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้นำเข้าอีกราย เพื่อทดสอบระบบ ทั้งจัดหา การใช้สถานีรับจ่ายและแปลงสภาพ และระบบท่อส่งก๊าซ รวมถึงวางกติกาใหม่ๆ มารองรับ
ระยะที่ 2 เปิดให้เอกชนรายอื่น ๆ เข้ามาดำเนินการ ทั้งการนำเข้า LNG การจัดหาและการจำหน่าย (shipper) และการลงทุนบริหารสถานีรับจ่ายและแปลงสภาพ รวมถึงให้ ปตท.จัดตั้งผู้บริหารระบบท่อก๊าซ (transmission system operator) เพื่อแยกให้เป็นอิสระจากการจัดหาและขาย รวมถึงให้เอกชนรายใหม่นำเข้า LNG ได้ เพื่อให้มี shipper หลายรายทำหน้าที่จัดหาและจำหน่ายก๊าซไปยังลูกค้าโดยตรง และมีผู้ลงทุนและบริหารกิจการสถานี LNG รายใหม่มาเชื่อมต่อระบบ เป็นต้น
ระยะที่ 3 เปิดแข่งขันเสรีเต็มรูปแบบ มีผู้นำเข้า LNG และ shipper หลายราย ทำให้สัดส่วนของการจัดหา LNG เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่การจัดหาและการใช้ก๊าซฯภายใต้สัญญาเดิมลดน้อยลง ส่งผลให้ตลาดพร้อมเข้าสู่ระบบการแข่งขันมากขึ้น
ภายใต้นโยบายดังกล่าว คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า(กกพ.) จึงเข้ามาวางกติกาการแข่งขันเพื่อเปิดทางให้ผู้ประกอบการรายอื่นนำเข้า และขาย LNG ด้วย โดยวางกติกาให้ใช้ หรือเชื่อมต่อระบบท่อส่งก๊าซฯ และสถานี LNG แก่บุคคลที่ 3 (Third Party Access : TPA ) และได้อนุมัติและประกาศใช้ TPA Code รวมถึงประกาศข้อบังคับว่าด้วยการจัดทำข้อกำหนดเกี่ยวกับการเปิดให้ใช้หรือเชื่อมต่อระบบส่งก๊าซธรรมชาติและสถานี LNG แก่บุคคลที่สาม (TPA Regime) ภายใต้พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550
ดันกฟผ.ชิมลางเปิดเสรี
และกพช.ได้อนุมัติให้กฟผ. ชิมลางทำหน้าที่เป็น Shipper รายใหม่ในการนำเข้า LNG จากต่างประเทศ 1.5 ล้านตันเพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าของกฟผ.เองภายในปี 2561 ขณะเดียวกับที่กกพ.ออกข้อกำหนดเมื่อเดือนมีนาคม 2561 ลดการเก็บค่าบริการเก็บรักษาและแปรสภาพ LNG เป็นก๊าซ ในส่วนของต้นทุนคงที่ ของบริษัทพีทีที แอลเอ็นจี จำกัด สำหรับรอบกำกับดูแล 5 ปี (ปี 2561-2565) อัตราค่าบริการลดลงจาก 24.932 บาทต่อล้านบีทียูเหลือ 18.3506 บาทต่อล้านบีทียู
“การเปิดเสรีนำเข้าและจัดจำหน่าย พร้อมกับการวาง TPA Regime กระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในการจัดหาก๊าซมากขึ้น ลดการผูกขาด เพิ่มแรงจูงใจในการเพิ่มประสิทธิภาพ และมีการใช้ประโยชน์สูงสุดจากสาธารณูปโภคและสาธารณูปการที่มารองรับ LNG และอีกไม่นาน LNG จะมีสัดส่วนการใช้เป็น 2 ใน3 ของการใช้ก๊าซทั้งหมดในประเทศ ” นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกกพ. ระบุ
การเปิดเสรี LNG ซึ่งถือเป็นบิ๊กล็อตของพลังงานของไทยครั้งนี้ แม้จะเปิดตลาดให้ผู้ประกอบการรายอื่นเข้ามาแข่งขันได้ แต่ในระยะแรกดูเหมือนยาก เพราะ facilities ถูกจับจองโดยปตท. และกฟผ.เป็นที่เรียบร้อย ผู้ประกอบการหน้าใหม่ต้องรอคิวขยายสถานีรับและแปลงสภาพ และอื่นๆที่จะมารองรับการนำเข้า LNG ในล็อตต่อไป
อย่างไรก็ตามแม้ว่าธุรกิจ LNG จะหอมหวาน แต่ก๊าซฯเป็นต้นทุนหลักของโรงไฟฟ้าและภาคอุตสาหกรรม การเปิดเสรี LNG 100 % คงไม่ใช่เรื่องง่าย การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึง กกพ.เป็นเรื่องจำเป็น เพื่อให้การเปิดเสรีสร้างประโยชน์กับประชาชน ทำให้ต้นทุนสาธารณูปโภค สาธารณูปการต่ำลง มิใช่การนำเข้าเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ แต่สุดท้ายประชาชนรับภาระ