Finance

พร้อมลุย! ‘กสิกรไทย’ ผนึกกำลัง เคลื่อนยุทธศาสตร์ใหม่ ฝ่ายุคดิสรัปชั่น

“กสิกรไทย” เดินหน้ายุทธศาสตร์ใหม่ ฝ่ายุคดิสรัปชั่น ตั้งเป้าปี 2563 ดันสินเชื่อบุคคลเพิ่ม 1.78 แสนล้าน พร้อมอัดงบลงทุน 3 ปี กว่า 17,000 ล้านบาทจัดทัพใหญ่ ดึง AI เสริมประสิทธิภาพ ตรวจจับภัยไซเบอร์ สร้างความเชื่อมั่นลูกค้า เปิดตัว 2 บริษัท “KAITAI TECH” ที่เซินเจิ้น สร้างนวัตกรรมบริการข้ามประเทศ และ “KASIKORN X” เพิ่มรายได้ใหม่ให้แบงก์ ปั้นฟินเทค ยูนิคอร์น บริษัทแรกของไทย ก้าวสู่บริษัทเทคโนโลยีอันดับ 1 ของอาเซียนปี 2565 

KBank Vision2020 3

วันนี้ (29 ม.ค.) ที่สามย่านมิตรทาวน์ ทีมผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย เปิดวิสัยทัศน์ และกลยุทธ์ใหญ่ธนาคาร ในการก้าวข้ามยุค ดิสรัปชั่น เพื่อไปสู่ Regional Banking  และ Digital Banking ตามเป้าหมาย โดยเปิดให้ผู้บริหาร พนักงาน ลูกค้า พันธมิตร และสื่อมวลชน นับพันคน ได้รับทราบทิศทางไปพร้อมกัน

KBank Vision2020 10

ขับเคลื่อนธุรกิจบน 8 เส้นทาง

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการดิสรัปชั่น ในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก ส่งผลให้การใช้ชีวิตของลูกค้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ดังนั้นธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อความอยู่รอด
รวมถึงการสร้างศักยภาพพร้อมที่จะแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ

ธนาคารกสิกรไทยจึงกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ ที่ยังคงยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และกำหนดเป้าหมายสำคัญในการ “เพิ่มอำนาจให้ทุกชีวิต และธุรกิจของลูกค้า”  (To Empower Every Customer’s Life and Business) โดยธนาคาร จะขับเคลื่อนธุรกิจบน 8 เส้นทาง สู่การยกระดับองค์กร (8 Transformation Journeys) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถใหม่ 8 ด้าน ตอบสนองชีวิตและธุรกิจของลูกค้าให้เดินหน้าต่อไปได้เสมอ ประกอบด้วย

  • Ecosystem Orchestrator & Harmonized Channel โดยร่วมมือกับพันธมิตร ผสานช่องทางบริการอย่างไร้รอยต่อ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน
  • Intelligent Lending ปล่อยสินเชื่อรายบุคคลจากฐานข้อมูลอัจฉริยะ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สอดคล้องกับความเสี่ยง
  • Proactive Risk & Compliance Management จัดการความเสี่ยงในเชิงรุก ป้องกันความเสียหาย และติดตามต่อเนื่อง
  • New Growth in Regional Market แสวงหาโอกาสและการเติบโตในตลาดระดับภูมิภาค
  • Data Analytics ศักยภาพการวิเคราะห์ข้อมูล จะเป็นหัวใจในการสร้างโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการ
  • Cyber Security & IT Resilience ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ และความสามารถในการจัดการทางไอทีที่รวดเร็ว
  • Performing Talent and Agile Organization ส่งเสริมให้บุคลากรมีทักษะความสามารถและร่วมกันขับเคลื่อน ด้วยการทำงานแบบ agile ที่มีความคล่องตัวสูง
  • Modern World Class Technology Capability เพิ่มศักยภาพองค์กร ด้วยเทคโนโลยียุคใหม่มาตรฐานระดับโลก

KBank Vision2020 edit

นางสาวขัตติยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดเวลา 75 ปีที่ทำธุรกิจ ธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ครั้งนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญ ที่ธนาคารพร้อมเดินหน้า โดยหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในทุกครั้ง คือ บุคลากรที่มีคุณภาพและวัฒนธรรมองค์กรยุคใหม่ที่มีร่วมกัน ได้แก่ การมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer at Heart) ประสานความร่วมมือ (Collaboration) เสริมสร้างนวัตกรรม (Innovativeness) และทำงานคล่องตัว (Agile) โดยจะเพิ่มทักษะจำเป็นในยุคสมัยใหม่ ให้พนักงานมีความสามารถ และมีอำนาจในการทำงานที่ลื่นไหล คล่องตัว

พร้อมมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน คือการเพิ่มอำนาจให้แก่ลูกค้าในการใช้ชีวิตและทำธุรกิจ ด้วยบริการที่เชื่อถือได้ สะดวก และเข้าถึงการใช้ชีวิตอย่างไร้รอยต่อ พร้อมรองรับการใช้งานข้ามประเทศ และขยายโอกาสของผู้ประกอบการ สู่ตลาดที่มีศักยภาพในระดับภูมิภาค

วางมาตรการลดความเสี่ยงธนาคาร-ลูกค้า

นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เสริมว่าในขณะที่ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ทำให้ผู้คนเข้าถึงบริการได้สะดวก และง่ายขึ้น ทำให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กับธุรกิจ และไม่เคยหยุดนิ่งเช่นกัน (Risks never sleep) สร้างความกังวลให้แก่ลูกค้าธนาคาร 3 เรื่องหลัก คือ กังวลเรื่องความปลอดภัย (Secure) กังวลเรื่องความถูกต้อง (Correct) กังวลเรื่องความน่าเชื่อถือ (Trustworthy) 

KBank Vision2020 12

ดังนั้นสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญ คือ การจัดการความเสี่ยง สร้างความแข็งแกร่งของธนาคาร ลดความกังวลให้แก่ลูกค้า เพื่อที่จะพร้อมก้าวไปข้างหน้ากับธนาคารอย่างมั่นใจ

ธนาคารกสิกรไทยเดินหน้า บริหารจัดการความเสี่ยงเชิงรุก (Proactive Risk Management) ควบคู่กับการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไป สำหรับแนวทางการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐาน แบ่งเป็น 3 แกนหลัก ดังนี้

1. การจัดการความเสี่ยงพื้นฐาน จากการให้บริการทางการเงิน (Banking Services)

สถาบันการเงินในทุกยุคสมัย ต่างต้องเผชิญ และรับมือกับความเสี่ยง เช่น ความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่น ที่นำไปสู่การถูกถอนเงินฝากจำนวนมาก ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ที่อาจทำให้ธนาคารไม่สามารถจ่ายเงินให้เจ้าหนี้ และนำไปสู่การล้มละลาย (Payment Default) ความเสี่ยงจากการปฏิบัติงานผิดพลาด (Operational Error) และความเสี่ยงด้านการทุจริต ที่อาจทำให้ธนาคารสูญเสียเป็นจำนวนมาก (Fraud and Theft)

เพื่อจัดการความเสี่ยงในกลุ่มแรก ธนาคารใช้มาตรการรักษาความมั่นคงทางการเงินไว้ เพื่อให้ธนาคารยังคงอยู่ได้ และปกป้องเงินฝาก และเงินลงทุนของลูกค้าไว้ ด้วยการดำรงสัดส่วนเงินกองทุน และสัดส่วนด้านสภาพคล่อง ที่สูงกว่าหลักเกณฑ์กำหนด

ปัจจุบันธนาคารมีการดำรงอัตราส่วนเงินกองทุน (CAR)  ที่ 19.62% คิดเป็น 171% ของหลักเกณฑ์ที่กำหนด มีสัดส่วนด้านสภาพคล่อง( LCR ) ที่ 188% ของหลักเกณฑ์กำหนด

นอกจากนี้ ได้มีการทำ Stress Testing กับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงกฎระเบียบใหม่ ที่กำลังเปลี่ยนแปลง การทำแผนสำรองการดูแลเงินกองทุน สภาพคล่อง และทำการทดสอบแผนเป็นประจำ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถ  ในด้านการบริหารและการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเข้าใจลูกค้า และความเสี่ยงของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ธนาคารให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในการทำธุรกรรมต่าง ๆระหว่างลูกค้ากับธนาคาร และการนำเสนอบริการที่ประทับใจแก่ลูกค้า โดยมีการติดตั้งระบบการตรวจจับรายการทุจริต (Fraud Monitoring) ทั้งในส่วนของ Transaction Fraud, Application Fraud และ Internal Fraud Monitoring มูลค่าลงทุนรวมกว่า 500 ล้านบาท โดยเฉพาะในส่วนของ Transaction Fraud Monitoring ที่ดำเนินการแล้วเสร็จ ในปี 2560

ทำให้อัตราส่วนรายการทุจริต (Fraud to Sales Ratio) ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีอัตราส่วนที่ต่ำที่สุดเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่น และค่าเฉลี่ยของประเทศ ส่งผลให้ธนาคารได้รับรางวัล VISA Champion Security Award(Southeast Asia) ประจำปี 2019

KBank Vision2020 11

2. การจัดการความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น จากบริการที่เป็นดิจิทัล (Digital Transformation)

ปัจจัยเสี่ยง ที่ธนาคารต้องบริหารจัดการ จะประกอบด้วยความเสี่ยง จากความไม่เสถียรของระบบการให้บริการ (Service Instability) ความเสี่ยงจากภัยบนโลกไซเบอร์ (Cyber Risk) และความเสี่ยงด้านการดูแลข้อมูลของลูกค้า (Data Protection and Privacy Risk) การจัดการความเสี่ยงจากบริการที่เป็นดิจิทัล เป้าหมายสำคัญ เพื่อทำให้บริการของธนาคารลื่นไหล สะดวก และปลอดภัยสูงสุด

ทั้งนี้ธนาคาร มีการทำงาน เพื่อจัดการความเสี่ยงจากบริการที่เป็นดิจิทัล 4 ด้าน โดยให้ความสำคัญกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยสากล เพื่อปกป้องภัยด้านไซเบอร์ และข้อมูลของลูกค้า รวมถึงความเสี่ยงจาก “คน” ในโครงการ Cyber DNA โดยทำให้พนักงานมีความตระหนัก และมีพฤติกรรม ที่ปลอดภัยจากความเสี่ยงด้านไซเบอร์ และข้อมูลรั่วไหล

และจัดการความเสี่ยงจากลูกค้า ผ่านโครงการ “สติ”  โดยส่งเสริมความรู้ให้แก่ลูกค้าธนาคาร กระตุ้นให้ลูกค้าตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลตัวเอง ด้วยความมีสติ ในการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับบุคคลที่ 3 เพื่อให้ผู้ให้บริการ และพันธมิตรของธนาคาร มีมาตรฐานดูแลความเสี่ยงด้านไซเบอร์ และข้อมูลของลูกค้าที่เทียบเคียงกับมาตรฐานของธนาคาร

นอกจากนี้ ในปี 2563 ธนาคารกสิกรไทยจะมีการยกระดับการให้ความสำคัญในการดูแลเรื่องความปลอดภัยบน ไซเบอร์ (Cyber Security) และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลลูกค้า (Customer Data Privacy) ในระดับสูงสุด และจะมีการนำเทคโนโลยีด้าน AI และ Machine Learning มาใช้ในการตรวจจับ Cyber Crime และ Cyber Risk

3. การจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG Integration)

ตั้งเป้าหมาย เป็นพลเมืองที่ดีของโลก ด้วยการดำเนินงานบนรากฐานของการเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน ที่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เช่น การมีนโยบาย และกระบวนการการให้สินเชื่อที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)

และมีการกำหนดประเภทเครดิต ที่ธนาคารไม่ให้การสนับสนุนสินเชื่อ (Exclusion List) เพื่อให้มั่นใจว่า ธนาคารจะไม่สนับสนุนกิจการที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และต่อชื่อเสียงของธนาคาร ขณะเดียวกันธนาคารก็ให้การสนับสนุนทางการเงิน แก่ธุรกิจที่คำนึงถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสังคม ดังนี้

สินเชื่อพลังงานทดแทน ได้แก่ สินเชื่อพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวมวล พลังงานขยะ เป็นต้น โดยปี 2562 ธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อกว่า 6,300 ล้านบาท กำลังการผลิตกว่า 800 เมกะวัตต์ ตั้งเป้าหมายปี 2563 จะมีส่วนแบ่งการตลาดด้านกำลังการผลิต ต่อเมกะวัตต์ เป็น 15% ของตลาดในประเทศ ตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือกของประเทศไทย

สินเชื่อเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ สินเชื่อเพื่อติดตั้ง Solar Rooftop สินเชื่อเพื่อปรับปรุงอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน สินเชื่อเพื่อปรับปรุงกระบวนการ เพื่อลดการใช้พลังงานในสถานประกอบการ เป็นต้น ในปี 2562 ธนาคารมีการให้สินเชื่อกว่า 2,000 ล้านบาท ตั้งเป้าปี 2563 จะมียอดสินเชื่อที่ 2,400 ล้านบาท

สินเชื่อเพื่อการสนับสนุนด้านสังคม ได้แก่ โครงการสนับสนุนให้เกิดการเข้าถึงบริการพื้นฐาน ที่จำเป็นในสังคมเป็นการสนับสนุนเงินกู้ให้แก่ผู้เกษียณอายุ โครงการสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานในสังคม (Employment Generation) ในกลุ่มเอสเอ็มอี และกิจการร้านค้าย่อยรายเล็กในชุมชน โครงการสนับสนุนให้ผู้ประกอบกา รเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นต้น ในปี 2562 ธนาคารให้สินเชื่อกลุ่มนี้รวมกว่า 7,600 ล้านบาท และตั้งเป้าปี 2563 จะมียอดสินเชื่อที่ 7,730 ล้านบาท

ทั้งนี้ธนาคารมียอดการออกหุ้นกู้ เพื่อความยั่งยืน มาตั้งแต่ปี 2561 จำนวน 100 ล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าหมายว่าธนาคารจะออกหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนเพิ่มเติมอีกในอนาคต

นอกจากนี้ ธนาคารได้มีการลงทุนในหุ้นกู้สีเขียว (Green Bond) ในปี 2562 มูลค่า 1,841 ล้านบาท และตั้งเป้าจะลงทุนในปี 2563 เพิ่มเติมอีก 300-500 ล้านบาท

ทั้งนี้จุดแข็งของกสิกรไทย ในเรื่องการบริหารความเสี่ยงก็ คือ มุ่งเสริมสร้างการบริหารความเสี่ยงให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร (Risk Culture) ทำให้การบริหารความเสี่ยงของธนาคารสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายได้ ทำให้ธนาคารดำรงความแข็งแกร่ง น่าเชื่อถือ พร้อมเพิ่มอำนาจให้ลูกค้า ในการใช้ชีวิตและทำธุรกิจได้อย่างไร้ความกังวล

ตั้งเป้าสินเชื่อบุคคลเพิ่ม 1.78 แสนล้าน

นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ถึงแม้พฤติกรรมผู้บริโภคมีแนวโน้มใช้ดิจิทัลแบงกิ้งเพิ่มขึ้น โดยปริมาณธุรกรรม ผ่านK PLUS เพิ่มขึ้นกว่า 200% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่จำนวนการทำธุรกรรมผ่านช่องทางสาขา ยังมีปริมาณมากเช่นกัน โดยมีปริมาณเกินกว่า 100 ล้านรายการ และเป็นรายการที่เกี่ยวข้องกับเงินสด และการยืนยันตัวตน เพื่อเปิดใช้บริการธุรกรรมการเงินต่าง ๆ ที่สาขา (Authentication)

KBank Vision2020 21

ดังนั้นธนาคารจึงยังคงให้ความสำคัญกับความหลากหลาย ของช่องทาง หรือแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ลูกค้าใช้บริการ เพื่อให้ลูกค้าของธนาคารได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ตั้งเป้าทำให้บริการของธนาคารไปอยู่ในทุกที่ที่ลูกค้าต้องการใช้บริการทางการเงินต่าง ๆ ธนาคารกสิกรไทยจึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรรายใหญ่ทั้งในระดับโลก และระดับประเทศ ในการสร้างอีโคซิสเต็ม (Ecosystem) เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการเดินทาง เช่น Grab แพลตฟอร์มโซเชียล มีเดีย เช่น Facebook และ LINE กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่ เช่น Central JD FINTECH และ JD Central

รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจพลังงาน เช่น PTTOR สถาบันการศึกษา เช่น โครงการ CU NEX ที่ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เช่น Lazada และ Shopee รวมถึงความร่วมมือกับกลุ่มสตาร์ทอัพ เช่น YouTech ประเทศสิงคโปร์ พร้อมประสานความร่วมมือ พัฒนาแพลตฟอร์ม หรือโซลูชัน ที่ทำให้รูปแบบการใช้จ่ายของลูกค้าสะดวกสบายไม่มีสะดุด

ทั้งนี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารได้นำศักยภาพด้านดิจิทัล แบงกิ้ง และความเชี่ยวชาญในการให้บริการโซลูชันทางการเงินอย่างครบวงจร ประสานกับจุดแข็งของพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ สร้างโซลูชัน ที่ยกระดับการให้บริการของแพลตฟอร์มไปด้วยกัน โดยได้ร่วมกันพัฒนาศักยภาพการให้บริการของ แอปพลิเคชันหรืออี-วอลเลต (e-Wallet)

รวมถึงการเชื่อมโยงกับแอปพลิเคชัน K PLUS ทำให้ลูกค้าที่ใช้บริการของทั้งธนาคาร และพันธมิตร สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หลากหลายรูปแบบได้ง่าย และสะดวกมากยิ่งขึ้น ได้แก่

KBank Vision2020 22 1

1. เชื่อมโยงการให้บริการระหว่างธนาคาร กับลูกค้า ของกลุ่มพันธมิตรด้วยโครงสร้างเทคโนโลยี “Powered by KBank” เชื่อมต่อทุกอย่างให้ใช้งานได้อัตโนมัติ จบในแอปพลิเคชันเดียว ไม่ต้องออกจากแอปฯ เพื่อจ่ายเงินหรือเติมเงิน เพิ่มความสะดวก รวดเร็วในการชำระเงินของลูกค้า เช่น การพัฒนาอี-วอลเลต Blue CONNECT, GrabPay, YouTrip, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้ธนาคารสามารถให้บริการกับกลุ่มลูกค้าพันธมิตรรวมกว่า 1.3 ล้านราย

2. เพิ่มศักยภาพการให้บริการบนแพลตฟอร์ม K PLUS โดยเชื่อมโยงฐานข้อมูลลูกค้า ที่ใช้บริการของพันธมิตรต่าง ๆ กับลูกค้าที่ใช้บริการของธนาคารเข้าด้วยกัน โดยมี K PLUS เป็นช่องทางหลักในการให้บริการ ประกอบด้วย 2 ฟีเจอร์ ได้แก่

1. เพิ่มบัตรสมาชิก (Add Card) โดยลูกค้าสามารถเพิ่มบัตรสมาชิกของแบรนด์ต่าง ๆ ได้บน K PLUS ทั้งสิ้น 13 แบรนด์ เช่น AIS Points, AirAsia BIG Loyalty, PTT Blue Card, The1 ทำให้ลูกค้าไม่ต้องพกบัตร สามารถเช็คคะแนนสะสม รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ

2.ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าหรือบริการด้วยคะแนนสะสมบัตรเครดิตใน K+ Market เป็นช่องทางในการแลกคะแนนบัตรเครดิตกสิกรไทยที่มีฐานลูกค้าถือบัตรกว่า 2.97 ล้านบัตร

ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการซื้อสินค้า หรือบริการด้วยเงินสดหรือคะแนนสะสมบัตรเครดิตได้ทันที และเพิ่มโอกาสการขายให้กับผู้ขาย ในปีที่ผ่านมา มีลูกค้าใช้คะแนนบัตรเครดิตกสิกรไทยเพื่อแลกซื้อสินค้าหรือบริการรวมกว่า 1,400 ล้านคะแนน

3. บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกันบน K PLUS ตั้งแต่ปีที่แล้ว ธนาคารได้เริ่มให้สินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกัน ผ่านแพลตฟอร์มของธนาคารทุกช่องทาง รวมถึงการให้บริการสินเชื่อบน K PLUS และการเข้าถึงแพลตฟอร์มของพันธมิตรต่างๆ

ในปีที่ผ่านมาธนาคารได้ร่วมกับบริษัท LINE Financial จัดตั้งบริษัท กสิกรไลน์ จำกัด เตรียมเปิดให้บริการสินเชื่ออย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้แบรนด์ LINE BK ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 นี้ เพื่อให้ลูกค้า สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนขนาดเล็ก ทั้งลูกค้าทั่วไปและผู้ประกอบการรายย่อยอย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว สะดวกสบาย ในปี 2562 ที่ผ่านมา ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล แบบไม่มีหลักประกัน (Unsecured Lending) ได้รวมกว่า 36,000 ล้านบาท

สำหรับในปี 2563 ธนาคารตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อบุคคล (Consumer Lending) เพิ่ม 178,000 ล้านบาท เติบโต 30% จากปี 2562

คว้าโอกาสยุคทองแห่งเอเชีย

นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงธุรกิจข้ามประเทศว่า ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีปัจจัยท้าทายรอบด้าน ธนาคารเชื่อมั่นในศักยภาพของภูมิภาคเอเชีย ที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลก โดยเฉพาะ CCLMVI โดยในปี 2562 เอเชียมีจำนวนชนชั้นกลางคิดเป็น 57% ของชนชั้นกลางทั้งโลก และคาดว่าในปี 2573 จะเพิ่มเป็น 67%

KBank Vision2020 16

ทั้งนี้ชนชั้นกลางกลุ่มนี้ จะเป็นคนกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีมาตอบโจทย์การดำเนินชีวิต (New Middle Class) ประกอบกับเอเชียยังเป็นขุมกำลังสำคัญทางเทคโนโลยีของโลก โดยข้อมูลพบว่า ในปี 2560 มีการยื่นขอสิทธิบัตรจากฝั่งเอเชียคิดเป็น 65% ของทั้งโลก มีสตาร์ทอัพ ยูนิคอร์น เกิดขึ้นในเอเชีย 33% ของทั้งโลก ทำให้เชื่อว่าเวลานี้ เป็นโอกาสสำคัญที่นักธุรกิจไทย จะขยายตลาดนำสินค้าและบริการไปสู่ภูมิภาคอาเซียน +3

สำหรับกลยุทธ์ที่ธนาคารใช้ คือ “Asset-Light Regional Digital Expansion”  ในการขยายตลาดในภูมิภาค เพื่อสร้างช่องทางการเข้าถึงตลาดลูกค้าต่างประเทศ และนำเสนอบริการรองรับการทำธุรกรรม และธุรกิจข้ามประเทศของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านความสามารถของธนาคารโดย

1. สร้างเครือข่ายบริการผนวกกับการเสาะหาพันธมิตร (Partnering) ประกอบด้วยเครือข่ายบริการของธนาคารกสิกรไทยในรูปแบบสำนักงานผู้แทน สาขา และธนาคารท้องถิ่น รวม 14 แห่งในภูมิภาค และการสร้างพันธมิตรธนาคารในภูมิภาค 72 ธนาคาร

คาดว่าในปี 2563 จะมีความคืบหน้าของการจัดตั้งสาขา หรือการหาลู่ทางการทำธุรกิจธนาคารในประเทศเมียนมา เวียดนาม และอินโดนีเซีย ส่วนประเทศจีน มุ่งเน้นขยายธุรกิจใหม่

2. การแสวงหาเทคโนโลยี และนวัตกรรม (Scouting and matching) ผ่านบริษัท K-Vision ที่เฟ้นหาสตาร์ทอัพทั่วโลก ด้วยการเข้าเป็นพันธมิตรการเข้าไปลงทุน และการซื้อเทคโนโลยี โดย K-Vision มีดิจิทัลแลบ 5 แห่ง ที่กรุงเทพ จาการ์ต้า โฮจิมินห์ซิตี้ เซินเจิ้น และเทลอาวีฟ อยู่ในกระบวนการคัดเลือก “เทคพาร์ทเนอร์” อย่างเข้มข้น

โดยคาดว่าบริษัท ที่มีศักยภาพในการเป็นพันธมิตรจะมีจำนวนมากถึงกว่า 1,000 บริษัท เพื่อใช้ Digital Technology เข้ามาตอบโจทย์ ในการธุรกรรมทางการเงิน และเชื่อมโยงสู่ลูกค้าของธนาคาร ตัวอย่างปีที่ผ่านมา ธนาคารร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐให้บริการรับชำระค่าธรรมเนียมจากระบบ e-VISA ด้วย E-Wallet และบัตรเครดิตกว่า 56 สกุลเงิน เริ่มใช้งานแล้วที่ประเทศจีน อังกฤษ และฝรั่งเศส

และจะขยายสู่ ทุกประเทศ ที่มีสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลใหญ่ไทยในต่างประเทศทั่วโลก ซึ่งบริการนี้ธนาคารนำพันธมิตรทั้ง Global Tech Payment Partner และ Chinese Payment Partner เข้ามาตอบโจทย์ ทั้งเรื่องสกุลเงิน ภาษา และช่องทางการชำระเงิน ให้แก่นักท่องเที่ยวทั่วโลก ที่ต้องชำระค่าวีซ่ามาไทย และพร้อมเชื่อมต่อนักท่องเที่ยวให้สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการท้องถิ่นของไทยผ่าน Platform TAGTHAI ที่ธนาคารร่วมมือกับองค์กรภาครัฐและเอกชนถึง 48 แห่งจัดทำขึ้นมา

นอกจากนี้ ธนาคารยัง ช่วยธุรกิจ SMEให้สามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศผ่านช่องทาง E-Commerce เช่นอินโดนีเซียที่มีประชากรเกือบ 260 ล้านคน โดยร่วมมือกับบลีบลีดอทคอม (www.Blibli.com) ซึ่งเป็น 1 ใน 5 แพลตฟอร์ม อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของประเทศอินโดนีเซีย

และจากการเปิดตัวในช่วงเดือนธันวาคมปี 2562 ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการไทยลงทะเบียนกับบลีบลีดอทคอม แล้วกว่า 200 ราย มีสินค้าไทยที่ขายบนแพลตฟอร์มมากกว่า 1,500 รายการ พร้อมจัดโปรโมชัน และกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักในประเทศอินโดนีเซียมากยิ่งขึ้น

KBank Vision2020 15

สำหรับลูกค้าบุคคล หรือลูกค้ารายย่อยธนาคารได้พัฒนาบริการโอนเงินไปต่างประเทศ ผ่านแอป K PLUS ไปสู่บัญชีปลายทาง โอนได้สูงสุด 50,000 ดอลลาร์ต่อครั้งต่อวัน รองรับการโอน 6 สกุลเงิน และจะเพิ่มเป็น 14 สกุลเงินในปี 2563 นี้ จุดเด่นบริการคือ ค่าธรรมเนียมต่ำสะดวกรวดเร็ว ทำธุรกรรมได้แบบเรียลไทม์ ยอดเงินที่ถึงปลายทางครบจำนวน และตรวจสอบได้ ปัจจุบัน มีปริมาณธุรกรรมโอนเงินรายย่อยไปต่างประเทศผ่าน K PLUS สัดส่วนใกล้เคียงกับการทำธุรกรรมที่สาขาธนาคาร

ทั้งนี้เพื่อก้าวไปข้างหน้าสู่การเป็นธนาคารแห่งภูมิภาคที่แท้จริง (A Truly Regional Bank) ธนาคารอยู่ระหว่างเตรียมยื่นขออนุญาตในการจัดตั้ง บริษัท ไคไต้ เทคโนโลยี จำกัด (KAITAI Technology Company Limited) หรือไคไต้เทค ที่เมืองเซินเจิ้น ส่วนหนึ่งของ Greater Bay Area ที่รัฐบาลจีนวางเป้าหมายเป็น The Silicon Valley of China ที่อุดมด้วยบริษัททางเทคโนโลยี จึงเป็นแหล่งบ่มเพาะเทคโนโลยีชั้นดี และเป็นศูนย์รวมบุคลากรที่มีความสามารถทางด้านดิจิทัล

ภารกิจหลักของ ไคไต้ เทค คือ การพัฒนาเทคโนโลยี และสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการให้บริการของธนาคารกสิกรไทย ประเทศจีน การให้บริการดิจิทัลในภูมิภาค และสามารถนำนวัตกรรมที่ได้กลับมาใช้ประโยชน์กับธนาคารกสิกรไทยและลูกค้าไทย

นายพิพิธ กล่าวเพิ่มเติมว่า เป้าหมายภายในปีนี้ ธนาคารจะสร้งช่องทางการบริการของธนาคารใน CCLMVI ให้ครบ และขยายพอร์ตลูกค้าบุคคลในประเทศจีน จัดโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยียุคใหม่ หนุนแบงก์เชื่อมต่อระบบกับพันธมิตร และตั้ง KASIKORN X สร้างฟินเทค ยูนิคอร์น บริษัทแรกของไทย

สร้างนวัตกรรมบริการข้ามประเทศ

นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธาน กสิกร บิซิเนส – เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ (KBTG) กล่าวว่า โลกกำลังเข้าสู่คลื่นดิสรัปชั่นรอบใหม่อีกครั้ง ที่ผู้เล่นขนาดใหญ่อย่างธนาคาร กำลังจะกลายเป็นฟินเทคได้ ด้วยโมเดลการพัฒนาบริการแบบ Open Banking ที่เปิดรับการนำไอเดีย และเทคโนโลยีแบบฟินเทคที่ประสบความสำเร็จสูงเข้ามาเชื่อมต่อ ภายใต้ข้อได้เปรียบด้านความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยี

โดยหัวใจหลักในการทรานสฟอร์มของธนาคารกสิกรไทย ในยุคนี้ คือ การผสานความแข็งแกร่งของธนาคารเข้ากับความสามารถทางด้านเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว

KBank Vision2020 20

KBTG จึงขับเคลื่อนแกนกลางความสามารถทางเทคโนโลยีของธนาคารกสิกรไทย (KBank’s New Digital Core, Powered by KBTG) ในแกนสำคัญ 3 ด้าน เพื่อวางรากฐานสถาปัตยกรรมและโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยียุคใหม่ (Modern Architecture and Infrastructure) ประกอบด้วย

1. ระบบคลาวด์ ที่ผสมผสานการทำงานระหว่าง Private Cloud และ Public Cloud ได้อย่างรวดเร็ว (Hyper and Hybrid Multi Cloud)

2. การวางรากฐานสถาปัตยกรรมใหม่ โดยยึดระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีความปลอดภัยขั้นสูงสุด (Security and Data Privacy Uncompromised)

3. การทำโครงสร้างด้วยโค้ด เพื่อการปรับเปลี่ยนอย่างคล่องตัว (Infrastructure-as-Code)

การวางรากฐาน และโครงสร้างใหม่นี้ จะรองรับได้ถึง 3 เท่าของธุรกรรมสูงสุด รับมือกับการขยายตัว ของการให้บริการแก่ลูกค้าของธนาคาร 20 ล้านคน ซึ่งในปี 2563 คาดว่าจะมีปริมาณธุรกรรมผ่านระบบจำนวนรวม 12,000 ล้านรายการ เป็นธุรกรรมทางการเงินมากกว่า 3,000 ล้านรายการ

ส่งเสริมบทบาทธนาคาร ในการเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนนวัตกรรม และเทคโนโลยี AI (Enable KBank to become AI and Innovation Factory)

ทั้งนี้ KBTG ได้สร้างขีดความสามารถใหม่ เทียบเคียงบริษัทฟินเทคยักษ์ใหญ่ระดับโลก โดยผสานแพลตฟอร์มของข้อมูลและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน (Data and AI Pipeline) และกระบวนการจัดการนวัตกรรม เพื่อเร่งสปีดการผลิตสิ่งใหม่ ๆ ให้ธนาคารกสิกรไทย สนับสนุนการพัฒนาบริการของพันธมิตรด้วยการเปิด API รับการเชื่อมต่อเข้ากับระบบบริการของธนาคาร (Open Banking API)

ปัจจุบันมีการเปิดรับการเชื่อมต่อ สำหรับบริการหลากหลาย อาทิ การเชื่อมต่อเข้าสู่บริการชำระเงิน Pay with K PLUS (Pay with K PLUS API) เชื่อมต่อเข้าสู่บริการชำระเงินด้วยคิวอาร์ โค้ด (QR API), เชื่อมต่อเพื่อยืนยันตัวตน (Authentication API), เชื่อมต่อบริการอี-วอลเล็ต (E-Wallet API) เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันมีพันธมิตรเชื่อมต่อ API กับระบบธนาคารกว่า 50 บริษัท

นอกจากนี้ KBTG ต้องการสร้างศักยภาพให้เป็นมากกว่าธนาคาร (Beyond Banking) คือ การเป็นธนาคารอัจฉริยะ ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และตอบโจทย์ ของลูกค้า ในทุกมิติของไลฟ์สไตล์ทั่วประเทศ (Data-Driven Cognitive Bank)โดยมีเทคโนโลยีที่พร้อมรองรับ การพัฒนาแบบเต็มรูปแบบ จากเทคโนโลยี AI สู่เทคโนโลยีขั้นสูง (Beyond AI Deep Tech Capability)ด้วยการสนับสนุนงานวิจัย และเปิดการเชื่อมต่อกับพันธมิตร (Open Tech Capabilities)

KBank Vision2020 19

เพื่อนำเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อน ไปผลิตนวัตกรรมและบริการที่เป็นประโยชน์ เช่น การร่วมมือกับ NECTEC และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการวิจัยเรื่อง Thai NLP เป็นต้น มุ่งสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีระดับภูมิภาค (Beyond Thailand – Towards Regional Tech Organization)

ทั้งนี้ตามที่ธนาคารอยู่ระหว่างเตรียมยื่นขออนุญาตในการจัดตั้ง ไคไต้ เทค ที่เมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นที่ตั้งของสตาร์ทอัพจีนที่มีศักยภาพทางด้านนวัตกรรม ที่ล้ำหน้าจำนวนมาก แหล่งรวมบริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์ และเทคโนโลยีกว่า 300 บริษัท เป็นโอกาสในการเข้าสู่อีโคซิสเต็ม ซึ่งเป็นหัวใจหลักทางเทคโนโลยีของประเทศจีน

นอกจากนี้ ยังยกระดับการเติบโตแบบใหม่ ด้วยการตั้ง KASIKORN X หรือเรียกอีกชื่อว่า KX เพื่อทำหน้าที่เป็น New S-Curve Factory พันธกิจของ KX คือการสร้าง ฟินเทค ยูนิคอร์น บริษัทแรกของประเทศไทย  ด้วยโมเดลธุรกิจแบบสุดโต่ง ด้วยเป้าหมายในการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ๆ ให้กับกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารกสิกรไทย

นายเรืองโรจน์ กล่าวตอนท้ายว่า การขับเคลื่อนทางเทคโนโลยีของธนาคารกสิกรไทย ไปสู่อนาคตยุคดิสรัปชั่นรอบนี้ จะมี KBTG เป็นกำลังสำคัญ ด้วยเทคโนโลยี และบุคลากรที่มีความพร้อม เพื่อสร้างบริการ ที่ลูกค้าประทับใจ และตอบโจทย์ให้ลูกค้าในทุกมิติของไลฟ์สไตล์ทั่วประเทศ พร้อมขยายศักยภาพสู่ภูมิภาค ไปจนถึงการจัดตั้ง KASIKORN X เพื่อเปิดรับโมเดลธุรกิจแบบฟินเทคอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งเป้าหมายการเป็นบริษัทเทคโนโลยีอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปี 2565 นี้

Avatar photo