Business

จ่อสรุปมาตรการ ‘รายงานผลกระทบจราจร’ ชง คจร. บังคับใช้กับโครงการก่อสร้างใหม่  

“สนข.” เตรียมสรุปผลการศึกษา “การจัดทำรายงานวิเคราะห์จราจร” หวังแก้ปัญหารถติดกลางเมือง คาดอีก 3-6 เดือน ชงให้ “คจร.” เคาะใช้กับโครงการก่อสร้างใหม่ ด้าน “ศักดิ์สยาม” ยืนยันไม่กระทบตลาดอสังหาฯ เชื่อคุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น

ศักดิ์สยาม ชิดชอบ

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยหลังเดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) วันนี้ (27 ม.ค.) เปิดเผยว่า นายชยธรรม์ พรหมศร ผู้อำนวยการ สนข. รายงานว่า สนข. อยู่ระหว่างศึกษาการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านจราจร (Traffic Impact Assessment Report: TIA) สำหรับโครงการพัฒนาต่างๆ  โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่และอาคารสูง

เพราะแม้โครงการพัฒนาต่างๆ จะมีการศึกษาด้านการจราจร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่การจัดทำแผนจราจรดังกล่าวยังมีช่องว่าง เห็นได้จากปัญหาจราจรสะสม ติดขัด และกระจุกตัวรอบโครงการต่างๆ  โดยเฉพาะเวลาที่มีคนเข้า-ออกจากโครงการจำนวนมากเข้า-ออก

สนข. จึงต้องการยกระดับการแก้ไขปัญหา ด้วยให้โครงการต่างๆ จัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางจราจรโดยเฉพาะ แยกออกมาจากการจัดทำ EIA เพื่อให้การศึกษาและจัดทำแผนจราจรรอบโครงการเป็นระบบ รอบด้าน และสมบูรณ์มากขึ้น

โดยนายชยธรรม์คาดว่า สนข. จะสรุปผลการศึกษาเรื่องการจัดทำ TIA เสนอที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ได้ภายใน 3-6 เดือนข้างหน้า ถ้า คจร. เห็นชอบตามที่เสนอ ก็จะพิจารณามอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อไป หรืออาจแต่งตั้งคณะทำงานใหม่ คล้ายกับกรณีที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณา EIA โดยเฉพาะ

สนข. ผู้บริหาร

ในโอกาสนี้ นายศักดิ์สยามจึงได้มอบนโยบายเรื่อง TIA ว่า สนข. ต้องมีความชัดเจนว่า โครงการใดเข้าข่ายต้องจัดทำ TIA บ้าง, เอกชนต้องเสนอข้อมูลในหัวขอใด, กลไกการพิจารณา TIA ต้องใช้เวลากี่วัน และต้องมีการทำความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องนี้ด้วย โดยขอย้ำว่า ขณะนี้มาตรการ TIA ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและไม่มีการบังคับใช้ จึงไม่ต้องการให้ผู้เกี่ยวข้องตื่นตระหนก

พร้อมมองว่า มาตรการนี้จะไม่มีผลกดดันตลาดอสังหาริมทรัพย์ และจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตประชาชน เนื่องจากปัจจุบันผู้ลงทุนและประชาชนส่วนใหญ่ต้องการมาอยู่ใจกลางเมือง บริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น ฝุ่นละออง PM 2.5 แต่ปัจจุบันเมืองและระบบขนส่งได้ขยายตัวออกไป อีกทั้งประเทศไทยมีพื้นที่อีกมาก จึงไม่มีความจำเป็นต้องมาอยู่ตรงกลางเมืองอีกแล้ว ถ้ากระทรวงคมนาคมไม่เริ่มวางแนวทางต่างๆ ตั้งแต่ตอนนี้ ก็จะมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอน

“คนทำอสังหาฯ ก็ต้องเริ่มพิจารณาแล้วว่า การทำโครงการต่อไปต้องดูผลกระทบเรื่องนี้ด้วย ผมคิดว่าตลาดอสังหาฯ ในปัจจุบันนี้ก็ดูเรื่องเหล่านี้อยู่ แต่อาจจะดูไม่สมบูรณ์ ดูเพียงแต่ว่าคนอยากอยู่ Location ตรงนี้นะ แล้วสร้างกัน พอสร้างกันแล้วไม่ดูให้ละเอียดว่า พอถึงเวลาเกิดปัญหาความหนาแน่นด้านจราจร

ผมคิดว่า มาตรการนี้ไม่ได้ไปกดดันตลาดนะ ผมว่าอย่าไปสร้างสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดี แต่เวลาจะทำอะไรสักเรื่อง เราดูให้ละเอียดรอบคอบจริงๆ ไม่ใช่แค่ทำให้โครงการสำเร็จ แต่ทำให้แล้วคนที่จะมาใช้โครงการได้รับความสะดวกและได้รับประโยชน์จริงๆ ผมว่าสิ่งเหล่านี้คือคำตอบที่ต้องช่วยกัน” นายศักดิ์สยามกล่าว

de2dc9d6 6bf2 11e9 994e 1d1e521ccbf6 image hires 105959

นายศักดิ์สยามกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ตนได้มอบนโยบายให้ สนข. วางแผนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้กระจายความเจริญไปยังภูมิภาค ไม่กระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองใหญ่ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำนโยบายเรื่องนี้ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

ขณะเดียวกันการวางแผนพัฒนาโลจิสติกส์ต่างๆ ที่มีการเวนคืนที่ดินของประชาชน ก็ขอให้ สนข. พิจารณาการสร้างความเติบโตต่างๆ ให้ประชาชนด้วย เช่น การสร้างที่อยู่อาศัย สถานศึกษา โรงพยาบาล เป็นต้น เพื่อให้หน่วยงานอื่นเข้ามาพัฒนาได้เลย ไม่เป็นภาระต้องเวนคืนภายหลัง ซึ่งอาจจะพิจารณาเป็นการก่อสร้างโครงการแนวสูงเหมือนในต่างประเทศ เพราะใช้พื้นที่ไม่มาก แต่สามารถสร้างการเติบโตได้

Avatar photo