Google ประกาศวิสัยทัศน์หลัก 4 ข้อผ่านงาน “Google for Thailand” จับมือ CAT เปิดตัว “Google Station” ให้บริการฟรีไวไฟตามจุดต่าง ๆ ทั่วประเทศเป็นประเทศที่ 4 ของโลกรองจากอินเดีย อินโดนีเซีย และเม็กซิโก, จับมือทรูดิจิทัลพาร์คเปิดตัว “Google Academy Bangkok”เพื่อเพิ่มทักษะดิจิทัล, รองรับกลุ่มครีเอเตอร์ด้วย “YouTube Space” และเพิ่มบริการให้เอสเอ็มอีด้วย Google My Business
เป็นงานใหญ่ประจำปีของกูเกิล ประเทศไทยจริง ๆ สำหรับ “Google for Thailand” ที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือของกูเกิล ร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งกระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคม หรือดีอี และพาร์ทเนอร์ของกูเกิลอีกเป็นจำนวนมาก โดยหัวใจสำคัญที่กูเกิลต้องการนำเสนอในงานดังกล่าวประกอบด้วย 4 เสาหลักดังนี้
1. Access
2. Education & Skilling
3. Localized Product & Local Content
4. SME & Startup
เปิดตัว “Google Station”
เมื่อปี 2559 กูเกิลมีการเปิดตัวบริการฟรีไวไฟในอินเดียซึ่งเรียกเสียงฮือฮาได้ทั่วโลก และต่อมาได้มีการขยายบริการฟรีไวไฟนี้ไปในอีกหลายประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย เม็กซิโก แต่ตามโจทย์ข้อ Access ทำให้กูเกิล ประเทศไทย จับมือกับ CAT Telecom และยูนิลีเวอร์ เปิดตัวบริการ Google Station ขึ้นในประเทศไทยเป็นประเทศที่ 4 ของโลก โดยมีพื้นที่ให้บริการหลากหลาย เช่น หัวลำโพง กรุงเทพมหานคร, จังหวัดพิจิตร, จังหวัดเลย เป็นต้น
โดยนาง อันจาลี โจชิ รองประธานฝ่ายบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ของกูเกิล มองว่า ผู้ที่จะกลายเป็นผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตพันล้านคนต่อไปนั้นไม่ใช่คนจากประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพยุโรป แต่เป็นประชากรจากอินเดีย ไทย อินโดนีเซีย ฯลฯ นี้เอง แต่ปัญหาที่พบก็คือ ประชากรเหล่านี้ไม่สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูงได้ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว กูเกิลมีการพัฒนาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โก (Go Eiditon) และสร้างแอพพลิเคชันเพื่อรองรับสมาร์ทโฟนที่รันแอนดรอยด์ โก โดยเฉพาะขึ้นมา เช่น ยูทูบโก
ส่วนบริการ Google Station นี้ถือเป็นความร่วมมือครั้งใหญ่ของกูเกิล แปซิฟิก กับผู้ประกอบการไทยอย่าง CAT Telecom ที่กูเกิลระบุว่าไม่มีการเก็บข้อมูลเป็นกรณีพิเศษ
เปิด “Google Academy Bangkok”
ในข้อต่อมา กูเกิลมีการส่งเสริมการศึกษาด้วยการเปิดตัว Google Academy Bangkok โดยจะตั้งอยู่ในทรูดิจิทัล พาร์ค รองรับการจัดคอร์สต่าง ๆ ร่วมกับพาร์ทเนอร์ ซึ่งในจุดนี้ นายเบน คิง ผู้อำนวยการกูเกิล ประเทศไทย เผยว่า ที่ผ่านมา กูเกิลมีการเปิดตัวโครงการเพื่อเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลมากมาย เช่น THAIDIGIZEN และมองว่า การมีคนที่สามารถใช้งานดิจิทัลได้เข้าไปในธุรกิจแม้จะไม่กี่คนนั้น ก็จะทำให้ธุรกิจก็จะพลิกไปได้อย่างมาก และเมื่อธุรกิจเติบโตบนโลกดิจิทัลได้ เขาก็จะไปได้อีกไกล ดังนั้นหน้าที่ของกูเกิลคือการทำให้ทักษะดิจิทัลขยายออกไปให้มากที่สุด
สนับสนุนนักพัฒนาคอนเทนต์ไทยด้วย “YouTube Space”
เป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกเช่นกัน สำหรับการเปิดตัว YouTube Space ซึ่งเป็นสถานที่ที่ยูทูบเตรียมไว้ให้กับครีเอเตอร์ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนไอเดีย รวมถึงมีสตูดิโอการถ่ายทำ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น กล้อง 360 องศาให้บริการฟรร นอกจากนั้นยังมีผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมาถ่ายทอดประสบการณ์ให้ด้วย
โดยนางสาวมุกพิม อนันตชัย หัวหน้าฝ่าย YouTube Partnership ของกูเกิล ประเทศไทยเผยว่า ประเทศไทยได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ยอดเยี่ยม เห็นได้จาก
- ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีการบริโภคคอนเทนต์บนยูทูบติด 1 ใน 10 ของโลก แม้จะมีประชากรอินเทอร์เน็ตเพียง 40 กว่าล้านคนก็ตาม
- การอัปโหลดคอนเทนต์ยูทูบในปีที่ผ่านมาว่ามีมากกว่า 2 พันล้านชิ้น
- ประเทศไทยเป็นประเทศที่มี Gold Channels มากเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
การเปิดตัว YouTube Space จึงเป็นการบอกว่า กูเกิล ประเทศไทยให้ความสำคัญกับครีเอเตอร์ไทยในการสร้างคอนเทนต์ที่ดี โดยมุกพิมยังได้เผยว่า การมี YouTube Space จะตอบโจทย์การพัฒนาคอนเทนต์สามข้อที่ต้องมี นั่นคือ ต้องมีคุณภาพที่ดี, ต้องมีการ collaboration และต้องสร้างแรงบันดาลใจได้ โดย YouTube Space จะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่ยังไม่ระบุว่าเป็นที่ใด และใน YouTube Space ยังมีกิจกรรมพิเศษสองโครงการ ได้แก่ YouTube NextUp สำหรับรองรับครีเอเตอร์ระดับกลาง มีโปรแกรมสอนการสร้างคอนเทนต์ตั้งแต่ก่อนจนถึงหลังการผลิต และซัพพอร์ตอย่างใกล้ชิดจากทีมยูทูบ และ YouTube Creators for Change สำหรับสร้างคอนเทนต์พิเศษเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงทางความคิดของผู้คน เช่น ลดความเกลียดชังบนโลกออนไลน์ ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีการจับมือกับ AIS พัฒนาแพกเกจพิเศษสำหรับ YouTube Go ออกมาตอบสนองความต้องการของตลาดไทยด้วย
เพิ่ม “Motorcycle Mode” ใน Google Maps
สำหรับเสาหลักข้อสามเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทาง หรือก็คือ Google Maps ที่กูเกิลบอกว่าประเทศไทยมีปัญหาจราจรมากเป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และคนไทยจำนวนมากใช้เวลาอยู่บนท้องถนน ทางกูเกิลจึงมีการปรับ Google Maps ให้เข้ากับบริบทของไทย ด้วยการเปิดตัว Motorcycle Mode และมีการหาทางลัดต่าง ๆ ให้ได้ รวมถึงรองรับคำสั่งเสียงภาษาไทยด้วย และๆเพื่อให้โหมดดังกล่าวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ กูเกิลมีการเพิ่มฐานข้อมูลถนน – ทางลัดเข้าไปเป็นหลักหมื่นข้อมูล โดยรองรับถนนเส้นเล็ก ๆ ที่คัดเลือกขึ้นมาสำหรับรถจักรยานยนต์โดยเฉพาะ
จับมือ SCB เพิ่มฟีเจอร์เพื่อเอสเอ็มอีบน Google My Business
เสาหลักสุดท้ายที่กูเกิล ประเทศไทยประกาศในงาน Google for Thailand คือเรื่องของการสร้างธุรกิจ ที่เน้นไปที่กลุ่มเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพ ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยนายไมเคิล จิตติวาณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประจำกูเกิล ประเทศไทยเผยว่า ที่ผ่านมา กูเกิลมี 3 โปรแกรมเพื่อสตาร์ทอัพไทย ได้แก่ Google for Entrepreneurs, Google Developers Launchpad และ Indie Games Accellerator สำหรับนักพัฒนาเกมโดยเฉพาะ
สำหรับเอสเอ็มอี กูเกิล ประเทศไทยมีการลงไปช่วยเอสเอ็มอีเช่นกัน เนื่องจากข้อมูลจาก AMI Research ระบุว่า ปัจจุบัน 13% ของเอสเอ็มอีไทยเท่านั้นที่มีเว็บไซต์ แสดงว่ายังมีเอสเอ็มอีจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงดิจิทัล แต่สำหรับคนที่ไม่มีเว็บไซต์ กูเกิลมีบริการชื่อ Google My Business และในบริการนั้นพบว่า คนไทยเสิร์ชหาคำว่า “ร้าน” และ “ใกล้ฉัน” เพิ่มขึ้น 2 และ 3 เท่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น จึงมองว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ที่มี Google My Business ให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ นอกจากนี้ ในการเพิ่มการใช้งาน Google My Business กูเกิลยังได้จับมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ในการช่วยเอสเอ็มอีไทยเข้าถึงบริการนี้ด้วย
ด้าน ฯพณฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เผยในงาน Google for Thailand ว่า รัฐบาลทุกประเทศรวมถึงไทยมีความมุ่งหวังในการพัฒนาประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน แต่ถ้าใช้วิธีการเดิม ๆ การพัฒนาประเทศก็จะทำได้จำกัด ทั้งนี้การมาถึงของเทคโนโลยีดิจิทัลคือโอกาสของคนทุกคน แต่นอกจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี เพื่อให้เราสามารถใช้เครื่องมือนั้นได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด
“ต้องคิดถึงคนทุกกลุ่ม อย่าปล่อยให้ใครถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง สิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐบาลมองก็คือจะทำอย่างไรให้การพัฒนานี้เป็นไปอย่างต่อเนื่องในอีก 20 ปีข้างหน้า จะทำอย่างไรให้ประชาชนในประเทศไทยมีชีวิตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ในนามของประเทศไทย ผมพร้อมจะร่วมมือกับทุกประเทศ”
อย่างไรก็ดี ในช่วงให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ ได้มีการถามนาย เบน คิง เกี่ยวกับนโยบายเรื่องการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% กับผู้ประกอบการออนไลน์ของกรมสรรพากร ว่าเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร โดยนายเบน คิงปฏิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าว