หลังจากสมาคมสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯประกาศให้มีการเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เวลา 13.00-15.00 น. ที่โรงแรม อัลมีรอซ รามคำแหง หลังจาก”บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง กำลังจะหมดวาระ 4 ปี
การท้าชิงเก้าอี้รอบนี้ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ 3 สมัย กลับมาเป็นผู้ท้าชิงเมื่อศาลกีฬาโลก (ซีเอสเอ) มีคำพิพากษ์ปลดล็อก ให้กลับมามีบทบาทในวงการลูกหนังอีกครั้ง หลังจากศาลอาญากรุงเทพใต้ อ่านคำพิพากษามีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร ทำให้สหพันธุ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) สั่งแบนห้ามยุ่งเกี่ยววงการฟุตบอลเป็นเวลา 5 ปี เมื่อปี 2013
และหลังจาก”บังยี” ส่งตัวแทนมาสมัครได้ 1 วัน “บิ๊กอ๊อด” ตัดสินใจยื่นใบสมัครรักษาเก้าอี้หลังไปซาวด์เสียงดูแล้วได้เสียงจากผู้สนับสนุนที่มีอุดมการณ์เดียวกันในจำนวนที่เพียงพอที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกสมาคมฯ อีกสมัย
การยื่นใบสมัครของ “บังยี” ถือว่ายังไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซนต์เมื่อคุณสมบัติเบื้องต้นจะยังไม่ผ่านเกณฑ์สองข้อหนึ่งในนั้นคือผู้สมัครต้องไม่เคยถูกคําส่งลงโทษห้ามยุ่งเกี่ยวกับวงการกีฬาฟุตบอลจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียหรือสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน ซึ่งต้องรอให้การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เป็นผู้พิจารณาอีกที
การกลับมาทวงคืนบัลลังก์ลูกหนังไทยครั้งนี้ “บังยี” ชูนโยบายเบื้องต้นซึ่งเป็นการบลัฟแหลกนายกฯคนปัจจุบัน โดยประกาศกลับมากอบกู้วิกฤติบอลไทยหลังทนเห็นผลงานตกต่ำทุกชุดไม่ได้ พร้อมยืนยันระเบียบที่เขียนไว้ไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ชิงตำแหน่ง
ความมั่นใจบองบังยีกับการลงสมัครรอบนี้คือผลงานเก่าที่เคยทำมา ทั้งบูมบอลลีก และผลงานทีมชาติ แต่การที่ตอนนี้มีชนักติดหลังทั้งเรื่องการปลอมแปลงเอกสาร ความไม่โปร่งใสในการบริหารงานในหลายๆเรื่องทั้งงบสร้างศูนย์ฝึกหนองจอก,ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดซึ่งยังเป็นคดีความฟ้องร้องกันอยู่ในปัจจุบันนี้ หากยังไม่มีการตัดสินจากศาลเชื่อว่าความน่าเชื่อถือของ “บังยี” ถูกลดทอนลงอย่างแน่นอน
ขณะที่ในมุม “บิ๊กอ๊อด” นั้นแม้จะโชว์ผลงานรื้อระบบการบริหารใหม่แบบยกยวงจนได้รับคำชมว่าโปร่งใส ตรวจสอบได้อย่างชัดเจน ผลงานที่เด่นชัดคือรายได้สนับสนุนสโมสรฟุตบอลในเมืองไทยที่ชัดเจน รวมทั้งการเดินหน้าก่อสร้างศูนย์ฝึกฯแห่งใหม่ที่ มวกเหล็ก สระบุรี ที่ยืนยันว่ามีความทันสมัยสุดๆ และที่สำคัญคือการจัดหาเกมอุ่นเครื่องให้กับทีมชาติให้ตรงตามปฏิทินฟีฟ่าเดย์ แต่ก็มีมุมมือเข้ามาลดทอนคือผลงานในสนามของทีมชาติที่ถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในทุกชุดรุ่นอายุ
ยังไม่รวมเรื่องการจัดการแข่งขันฟุตบอลลีกที่ยอดผู้ชมในสนามลดฮวบทุกปี แม้ส่วนหนึ่งจะเกิดจากพิษเศรษฐกิจแต่ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าการจัดคิวเตะถี่ทำให้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่แฟนบอลต้องเลือกเข้าชมเกมเป็นบางนัด
เท่ากับว่า ณ ตอนนี้ทั้งสองผู้ท้าชิงต่างมีมุมลบให้โดนดิสต์เครดิตด้วยกันทั้งคู่ อยู่ที่ว่าคนในวงการรวมถึงแฟนบอล จะมองในมุมไหน
ส่วนใครได้เปรียบ ใครมีโอกาสได้มากกว่ากันอันนี้ฟันธงยาก เพราะแม้จะเป็นเวทีเลือกตั้งสนามเล็กๆแต่ทุกอย่างแทบไม่ต่างเวทีการเมืองที่ฝั่งไหนจะไปพูกมิตรกับฝั่งไหนได้มากกว่ากัน
การเลือกตั้งครั้งนี้มีเสียงสมาชิกได้สิทธิ์ลงคะแนนทั้งหมด 69 เสียงซึ่งจะให้บอกว่าส่วนใหญ่สนับสนุนฝั่งไหนก็พูดได้ยาก แต่พอพูดได้บ้างว่าขั้วเก่ายุคปัจจุบันมีภาษีดีกว่าเล็กน้อย ซึ่งมาจากเสียงจากลีกล่างที่หลายทีมเพิ่งก่อตัวเกิดขึ้นในยุคไม่กี่ปีมานี้
ขณะที่เสียงของลีกใหญ่นั้นอยู่ที่บารมีของใครจะมีมากกว่ากว่า เส้นสายสัมพันธ์กับเจ้าของทีมที่ส่วนใหญ่ก็พูดได้ว่าเป็นผู้มีบารมีกันหลายทีม
เชื่อว่าจากวันนี้ถึง 12 กุมภาพันธ์ การเดินเครื่องเจรจานอกรอบม่ว่าด้วยรูปแบบไหนเพื่อโน้มน้าวให้เทใจในการเลือกตั้งสู้กันดุเดือดแน่
แม้บิ๊กอ๊อดจะมีสายสัมพันธ์เก่าจากการเลือกตั้งครั้งก่อนแต่ก็มีบางส่วนที่ถอยออกมายืนตรงกลาง ขณะที่ “บังยี” คลุกคลีอยู่วงการนี้มานานก่อนยื่นใบสมัครย่อมมีการเช็กเสียงมาบ้างแล้วถ้าไม่มั่นใจไม่มาให้เสียหน้าแน่นอน
แต่เกมนี้ดูแล้วไม่ใช่สู้เพียงสอง เมื่อ”บิ๊กอู๊ด” ดร.ภิญโญ นิโรจน์ อดีตอุปนายกสมาคมฟุตบอลไทยสมัย “บังยี” ร่วมวงลงสมัครชิงตำแหน่งประมุขลูกหนังก่อนเดดไลน์ปิดรับสมัคร 1 ชั่วโมง
“บิ๊กอู๊ด” จัดเป็นนักการเมืองผูกขาดของจังหวัดนครสวรรค์ ปัจจุบันสังกัดพรรคพลังประชารัฐ เคยเป็นอดีตสภากรรมการสมาคมฟุตบอลบอลฯ ยุค “บังยี” วรวีร์ มะกูดี ในตำแหน่งอุปนายก และเคยขึ้นรักษาการตำแหน่งนายกสมาคมฯแทน วรวีร์ ที่ติดโทษแบนจากฟีฟ่าด้วย
นอกจากนั้น “บิ๊กอู๊ด” ยังเคยสร้างทีมฟุตบอลจ.นครสวรรค์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม คว้าแชมป์ไทยแลนด์คัพ และสร้างนักเตะก้าวขึ้นไปเล่นทีมชาติมากมาย ที่โด่งดังสุดคือ “สิงโตปากน้ำโพ” วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์
หากพูดกันตามตรงนี่คือ 3 ฐานเสียงการเมือง “บังยี” มาจากประชาชาติ อีกขั้วพรรคเพื่อไทย “บิ๊กอ๊อด” อย่างที่รู้มีเนวิน ชิดชอบ สนับสนุน ส่วน “บิ๊กอู๊ด” มาจากพลังประชารัฐ
ศึกชิงเก้าอี้ประมุขลูกหนังไทยปีนี้ดุเดือดแน่ๆ แต่ก็ยังเชื่อว่าสุดท้ายแล้วเป็นการวัดกันของคนสองคน
“บังยี” ดวล “บิ๊กอ๊อด” ส่วนม้ามืดนั้นน่าจะมาเพียงตัดแต้มเท่านั้น
