ได้ชื่อว่าเป็น พ่อมดวงการไอที และกูรูวงการอีคอมเมิร์ซ สำหรับ “ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ” กรรมการผู้จัดการ และผู้ก่อตั้ง ตลาดดอทคอม ซึ่งล่าสุด ภาวุธได้มอง 12 เทรนด์ อีคอมเมิร์ซไทยในปี 2563 ผ่านเว็บไซต์ Tarad.com และเฟซบุ๊ก “Pawoot (Pom) Pongvitayapanu” ไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
“ภาพรวมอีคอมเมิร์ซไทยในปีที่ผ่านมา นับว่าเป็นปีที่หลายธุรกิจแข่งขันกันอย่างดุเดือดและร้อนแรง แต่เริ่มที่จะมองเห็นโมเมนตัมของการทำธุรกิจออนไลน์ในประเทศไทยได้ชัดเจนมากขึ้นและลากยาวไปถึงปี 2563” ภาวุธระบุ
ในปี 2563 เทรนด์ของอีคอมเมิร์ซไทยจะเป็นอย่างไร ผมอยากเตรียมพร้อมให้กับคนที่ทำธุรกิจและคนที่ต้องการที่จะปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัลรู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งอีคอมเมิร์ซไทยในปี 2563 จะมีอยู่ประมาณ 12 เทรนด์ใหญ่ คือ
1.JSL Marketplace เริ่มทำรายได้ให้เห็นแล้ว
ปี 2563 จะเป็นปีที่ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซ ทั้ง J : เจดี เซ็นทรัล, S : ช้อปปี้ และ L : ลาซาด้า เริ่มทำกำไรมากขึ้น จริง ๆ เราเริ่มเห็นกันตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้วว่า ช้อปปี้ เริ่มเก็บค่าคอมมิชชั่น ค่าบริการต่าง ๆ แล้ว ในขณะที่ ลาซาด้าเองเก็บค่าคอมมิชชั่นมาพักใหญ่ ทุกคนกำลังเริ่มปรับตลาด และมีคนเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น
เมื่อคนเริ่มติดแล้ว ปี 2563 จะเป็นปีที่ผู้ให้บริการเหล่านี้จะทำรายได้ โดยจะมาจากการเก็บค่าคอมมิชชั่น ค่าโฆษณา ฯลฯ จะเริ่มเห็นว่ามีการเก็บค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของ JSL มากขึ้น
2. สงครามอี-วอลเล็ต แข่งกันดึงเงินลงกระเป๋า
จากปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าธุรกิจ อี-วอลเล็ต เริ่มตั้งไข่ ฉะนั้น ในปี 2563 อี-วอลเล็ต จะเติบโตมาก โดยจากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าในไตรมาสแรกของปี 2562 อี-มันนี่ มีปริมาณการใช้งานทั้งสิ้น 473.27 ล้านรายการ คิดเป็นมูลค่า 6.7 หมื่นล้านบาท ส่วนปี 2561 มีปริมาณการใช้ 1,510.84 ล้านรายการ มูลค่า 2.09 แสนล้านบาท เติบโตจากปี 2560 ที่มีการใช้งานเพียง 1,272.22 ล้านรายการ มูลค่า 1.26 แสนล้านบาท เรียกได้ว่าสงคราม อี-วอลเล็ต ในเมืองไทยมาถึงแล้ว
ผมแบ่งรูปแบบ อี-วอลเล็ต หรือกระเป๋าเงินดิจิทัลออกเป็น 4 รูปแบบคือ
- Pure Wallet – คือเกิดมาเพื่อเป็นวอลเล็ตโดยเฉพาะ เช่น True Money, Rabbit Line Pay (mPay), xCash, Dolfin, Blue Pay, AirPay ปีนี้กลุ่ม Pure Wallet น่าจะมีการฟาดฟันกันหนักมากขึ้น
- E-Commerce Wallet – เป็นวอลเล็ตของผู้ที่ให้บริการออนไลน์อยู่แล้วและขยับมาทำวอลเล็ตเพิ่มขึ้นด้วย เช่น ลาซาด้า วอลเล็ต, อาลิเพย์ของช้อปปี้, แกร็บเพย์ เป็นต้น ซึ่งบรรดาอีคอมเมิร์ซวอลเล็ตจะแข่งกันหนักมากขึ้น เพราะทุกคนจะพยายามจะดึงเงินเข้ามาอยู่ในวอลเล็ตของตนเอง
- Bank Wallet หรือ Mobile Banking – เป็นกลุ่มที่น่าสนใจมากและมีความได้เปรียบ เพราะหลายคนจะใช้บัญชีธนาคารสำหรับรับเงินเดือน ฉะนั้นเงินจะถูกกองไว้อยู่แล้วในบัญชี และคนอาจจะไม่โอนออกไปที่วอลเล็ตอื่นเท่าใด กลุ่มนี้เหมือนเป็นกระเป๋าหลักและยังมีดอกเบี้ยให้อีก จึงมีความได้เปรียบกว่ากลุ่มอื่น อีกทั้งธนาคารเองยังมีการพัฒนาแอปพลิเคชันอย่างต่อเนื่อง
- Mobile Device Wallet – เช่น Samsung ก็มี Samsung Pay หรือนาฬิกา Fitbit และ Garmin เองก็มี Fitbit Pay และ Garmin Wallet รวมไปถึง Apple Pay ที่มีข่าวว่าจะเข้ามาเปิดบริการในประเทศไทย สงคราม Wallet จึงน่าจะดุเดือดอย่างแน่นอน
3. สงครามของบริษัทขนส่งสินค้า (E-Logistic)
ในปี 2562 ก็เริ่มเห็นกันได้ชัดแล้ว ตอนนี้บริษัทขนส่งที่โฟกัสไปที่ออนไลน์นั้นมีมากเป็นสิบบริษัท หลายบริษัทเพิ่งเปิด หลายบริษัทมาจากจีน ผมลองเก็บข้อมูลผลประกอบการของบริษัทขนส่งโลจิสติกส์ ในประเทศไทยมาเปรียบเทียบกัน พบว่าไปรษณีย์ไทยยังครองแชมป์ทำรายได้สูงสุด กำไรมากสุด ทุนจดทะเบียนมากสุด และเปิดให้บริการนานสุด ส่วนบริษัทที่ขาดทุนมากที่สุดก็คือ J&T Express ที่เพิ่งเปิดให้บริการล่าสุดปีกว่า ๆ โดยการเปรียบเทียบบริษัทขนส่งผมสรุปไว้ที่นี่ครับ
สำหรับปี 2563 บอกได้เลยว่าจะมีบริษัทขนส่งผุดขึ้นมาอีกมาก ยังไม่รวม แกร็บ เอ็กซ์เพรส หรือ เก็ท เอ็กซ์เพรส ซึ่งเริ่มกระโดดเข้ามาทำบ้างแล้ว ต่อไปการส่งของจะง่ายมากขึ้น เมื่อปีที่แล้วเราอาจพูดถึง การส่งของภายในวันเดียว (Same day Delivery) แต่เดี๋ยวนี้การส่งของภายในวันเดียวเป็นเรื่องปกติ ต่อไปจะเป็นการส่งภายใน 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น
4. ธุรกิจที่ให้บริการเก็บ-แพ็ก-ส่งสินค้า (Fulfillment) มาแรง
คนจะไม่ค่อยแพ็กหรือเก็บสินค้าเองแล้ว จะมีบริการพวก fulfillment เริ่มให้บริการเยอะขึ้น คนจะเริ่มใช้บริการเอาท์ซอร์ส คือ จ้างแวร์เฮ้าส์ จ้างคนแพ็กของหรือส่งของ ปีนี้จะชัดมากขึ้นอีก สำหรับ e-Commerce Fulfillment ในเมืองไทยอาจมีอยู่ไม่เยอะมากนัก เช่น Trustbox Fulfillment, Siam Outlet, MyCloud Fulfillment นอกจากนี้บริษัทขนส่งหลายเจ้าก็เริ่มมาทำ รวมถึงลาซาด้า หีอ ช้อปปี้ ก็เริ่มมี fulfillment เป็นของตัวเอง
5.Brand จะกระโดดเข้าสู่ออนไลน์อย่างต่อเนื่อง
การมาของมอลล์ต่าง ๆ เช่น ช้อปปี้ มอลล์, ลาซมอลล์ และ เจดีเซ็นทรัล ที่เน้นสินค้าแบรนด์ ดังนั้น แบรนด์จะกระโดดเข้ามาขายออนไลน์มากขึ้น ๆ ส่งผลกระทบต่อบรรดายี่ปั๊ว ซาปั๊ว หรือบรรดาตัวแทนสินค้า เพราะผู้ผลิตสินค้าหรือโรงงานเริ่มขายตรงกับผู้บริโภคเอง
6. การค้าข้ามประเทศ (Cross Border) เติบโตแบบก้าวกระโดด
การขายข้ามประเทศจะแบ่งเป็น 2 แบบคือ Inbound Cross Border สินค้าที่มาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าจากจีนที่อยู่ใน 3 มาร์เก็ตเพลสดังของไทยจะมีประมาณ 135 ล้านชิ้นหรือราว 77% สินค้าที่เป็นของผู้ค้าไทยประมาณ 39 ล้านชิ้นหรือราว 23% เทรนด์ตอนนี้จะเริ่มชัดแล้วว่าสินค้าจีนเริ่มบุกเข้ามามากขึ้น และเริ่มส่งเร็วมากขึ้นด้วยการเปิดอีอีซี
อีกเรื่องที่รัฐบาลต้องเน้นก็คือ Outbound Cross Border การนำสินค้าออกทางออนไลน์ ตอนนี้มีหลายมาร์เก็ตเพลสอย่าง อเมซอน, อีเบย์, ราคูเท็น และ อาลีบาบา เป็นช่องทางที่สามารถเอาสินค้าไทยออกไปขายต่างประเทศได้
อย่างที่ทราบกันดีว่าตัวสินค้าไทยนั้นคุณภาพดีอยู่มาก แต่กลไกหรือวิธีการในการส่งออกเรายังไม่มีตัวช่วยมากเท่าไหร่ ผมจึงมองเห็นว่าเทรนด์ในปีนี้ คนที่จะนำสินค้าไทยออกไปขายต่างประเทศก็จะเริ่มมีจำนวนมากขึ้น ที่สำคัญรัฐอาจต้องเข้ามาร่วมมือกับกลุ่มคนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้และเป็นผู้ประกอบการไทยด้วยโอกาสจึงจะมีเพิ่มมากกว่า
7. Social Commerce ยังโตทะลุ
เม็ดเงินมหาศาลจากสื่อโฆษณาออนไลน์จะเทลงมาในโซเชียลมีเดียมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปีที่ผ่านมามียิงการโฆษณาบนเฟซบุ๊กเดือนละเป็นล้านบาท ยิงไปแล้วยอดขายพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้โซเชียลคอมเมิร์ซโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทำให้ต่อเนื่องไปถึงเทรนด์ต่อไป
8. ปีของ Live & Conversational Commerce
การค้าแบบไลฟ์และแชทจะมาจริง ๆ แล้ว ปีที่ผานมาจะเห็นว่า ลาซาด้า มีไลฟ์สดขายของ, ช้อปปี้ ก็มีไลฟ์ขายของ ทุกคนมองการทำไลฟ์เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการขายของออนไลน์ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ปีนี้เราจะเจอแพลตฟอร์มเพื่อการไลฟ์ขายของที่สามารถเก็บเงินได้เลย และมีการทำระบบการจัดการขายของบนไลฟ์อย่างเดียว
9. ข้อมูล อี-คอมเมิร์ซ นำไปสู่ธุรกิจอื่น
ต่อไปคนที่ทำอีคอมเมิร์ซหรือคนที่มีข้อมูลทั้งหมดจะนำไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ ปีที่ผ่านมาเราจะเห็นข่าวว่า ลาซาด้า จับมือกับ ธนาคารกสิกรไทย เพื่อปล่อยกู้ หรือ ไทยพาณิชย์ จับมือกับ เก็ท ปล่อยกู้เช่นกัน ฯลฯ คนมี ดาต้ามากขึ้น ก็นำไปสู่การปล่อยกู้ได้มากขึ้น ทั้งปล่อยเองและปล่อยผ่านแบงค์ จะเห็นว่า data จะถูกนำมาใช้มากขึ้นในปีนี้
10.ยุครุ่งโรจน์ของอีคอมเมิร์ซเฉพาะทาง หรือ Vertical E-Commerce
เพราะเราคงไปสู้มาร์เก็ตเพลสใหญ่ ๆ ที่เป็น Horizontal E-Commerce ไม่ได้ ฉะนั้น อีคอมเมิร์ซอย่าง Konvy มาร์เก็ตเพลสขายเครื่องสำอาง, Pomelo มาร์เก็ตเพลสที่ขายสินค้าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแฟชั่น BUILK.com มีมาร์เก็ตเพลสที่ชื่อว่า Yello ขายอุปกรณ์ก่อสร้าง NocNoc ขายเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ อีคอมเมิร์ซเฉพาะทางจะเริ่มโตมากขึ้น
11.Omni Channel มาแล้วของจริง
ออนไลน์กับออฟไลน์ทุกช่องทางจะประสานเข้าด้วยกันอย่างเห็นได้ชัด
12. ปีที่กฎหมายด้านดิจิทัลมาครบชุด
กฏหมาย 6 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับ ดิจิทัล การค้าออนไลน์ ได้แก่
- พ.ร.บ. ภาษีอีเพย์เมนต์ เริ่มมีการตรวจสอบข้อมูล การโอนเงินต่าง ๆ รวมถึงจำนวนครั้งที่โอนแล้ว
- พ.ร.บ. ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ต่อไปนี้การทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่างจะมีกฎหมายรองรับ จริง ๆ มีมานานแล้วแต่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น
- พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มีมานานแล้วและมีการปรับปรุงเช่นเดียวกัน
- พ.ร.บ. คุุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาแล้วจริง ๆ
- พ.ร.บ. ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่มอบอำนาจให้กับภาครัฐในการควบคุมความมั่นคงของประเทศ
- พ.ร.บ. ภาษี E-Business จะเป็นการเก็บรายได้จากธุรกิจต่างชาติ
เมื่อกฎหมายทั้ง 6 ฉบับนี้ทำงานครบ จะสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น บางอย่างก็เป็นข้อดี เช่น ภาษี E-Business ที่ต่อไปหากต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในไทยก็ต้องมีการเสียภาษี และจะทำให้เราได้เห็นตัวเลขสำคัญหลายอย่าง จึงอาจต้องมีการกลับมาคุยกันมากขึ้นในเรื่องของการปรับตัวเนื่องจากกฎหมายเหล่านี้
ทั้งหมดนี้ เป็นเทรนด์ร้อนอีคอมเมิร์ซ ที่จะเกิดขึ้นและเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ในปีนี้ ซึ่งย่อมมีผลต่อผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซต้องปรับตัวให้เท่าทัน
ขอบคุณข้อมูลจาก : Pawoot (Pom) Pongvitayapanu