Business

เหตุการณ์สหรัฐ-อิหร่าน สู่ผลกระทบหุ้นไทย

เกิดเหตุการณ์จุดชนวนความขัดแย้งอย่างรุนแรงกันอีกรอบ หลังเมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 มกราคม 2563 สหรัฐ ได้ส่งโดรนลอบสังหาร “นายพล ซูลีมานี” ทหารคนสำคัญของประเทศอิหร่าน  

ที่มาที่ไปของความขัดแย้งในครั้งนี้นั้นเริ่มมาจากเหตุการณ์ในเดือนธันวาคม 2562 ที่มีการบุกยึดสถานฑูตสหรัฐ ในประเทศอิรัก ซึ่งเชื่อว่า นายพล ซูลีมานี คือผู้อยู่เบื้องหลัง รวมถึงเหตุการณ์อื่นๆ เช่น การที่อิหร่านโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันหลายลำ, โดรนของสหรัฐ ถูกยิงตก และการโจมตีโรงงานผลิตน้ำมันครั้งใหญ่ในซาอุดิอาระเบีย

ก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ของสหรัฐ และ “นายพล ซูลีมานี” ก็เพิ่งเคยปะทะกันใน Twitter ส่วนตัว จากการที่ทรัมป์ออกมาโพสต์ท้าทายประธานาธิปดีอิหร่านว่า 

“จะต้องเจอผลลัพธ์ที่น้อยคนนักต้องเผชิญ” 

ทำให้หลังจากนั้น นายพลซูลีมานี ก็ออกมาตอบโต้แทนประธานาธิบดีอิหร่านว่า 

“ในฐานะที่เป็นทหาร ถ้าแกจะใช้คำพูดแบบนั้น มาพูดกับผมไม่ใช่ประธานาธิบดี”

จนนำมาสู่สถานการณ์ที่ตึงเครียด และเกิดการลอบสังหารในที่สุด ถึงขนาดที่หลายคนหวั่นใจว่านี่อาจจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือเปล่า ?  

เพราะเรื่องนี้ทำให้อิหร่านแสดงความไม่พอใจอย่างมาก ทางการอิหร่านประกาศจะล้างแค้นสหรัฐ และพร้อมจะโต้ตอบอย่างถึงที่สุด โดยมีคำขู่สำคัญ คือ การปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญของโลก โดยการส่งน้ำมันผ่านช่องแคบนี้คิดเป็นสัดส่วนถึง 21% ของทั่วโลก หรือคิดเป็นกำลังการผลิตราว 19 ล้านบาร์เรล/วัน 

                                                                         แหล่งขนส่งน้ำมันสำคัญของโลก

แหล่งน้ำมัน11

หุ้นปั่นป่วน สวนทางน้ำมัน – ทองคำ

ประเด็นความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างหนัก สวนทางกับราคาน้ำมัน และทองคำที่พุ่งขึ้นรุนแรง เม็ดเงินจำนวนมากไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย หรือที่เรียกกันว่า Safe Haven

มองกลับมาที่ดัชนีหุ้นไทย หลังเกิดเหตุ SET INDEX ก็ถูกเทขายอย่างหนัก โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 8 มกราคม ดัชนีติดลบ 1.64% ปิดตลาดที่ระดับ 1,559.27 จุด อย่างไรก็ดี ลองมาดูกลยุทธ์ลงทุนระยะสั้นเพื่อรับมือกับภาวะตลาดแบบนี้กันดีกว่า 

“เอเชียพลัส” แนะหุ้นปันผลสูงเป็นหลุมหลบภัย

ด้วยความตึงเครียดบวกกับภาพรวมเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวอยู่แล้ว ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนของ บล.เอเชียพลัส จึงแนะนำให้แบ่งเงินบางส่วน มาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย รวมถึงหุ้นปันผลสูง ซึ่งน่าจะเป็นหลุมหลบภัยที่ดีในช่วงนี้ 

ทั้งนี้ ได้คัดกรองหุ้นปันผลเด่นที่น่าสนใจลงทุน และเข้าเงื่อนไขจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ และมีปันผลสูงเกิน 4% ต่อปี มาทั้งหมด 14 บริษัท ได้แก่ PYLON, MSC, SCCC, BBL, DCC,MAJOR, PTT, KKP, LH, AP, DRT, TTW, DIF และ POPF 

“กรุงศรี” มองกลุ่มพลังงานรับอานิสงส์

ด้านบล.กรุงศรี แม้มีมุมมองเป็นลบจากสถานการณ์ตะวันออกกลางที่ตรึงเครียด แต่จากราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นแรงเหนือระดับ 63 เหรียญต่อบาร์เรล เพราะฉะนั้น คาดว่าจะเป็นผลบวกต่อกลุ่มพลังงาน ได้แก่  PTTEP, TOP, PTTGC, SPRC และ IVL 

“หยวนต้า” เตือนยังไม่ถึงเวลาซื้อหุ้น

ขณะที่ บล.หยวนต้า วิเคราะห์ว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะเกิดการพักฐานระยะสั้น ตามตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆ และถึงแม้ราคาน้ำมันจะเป็นผลบวกต่อหุ้นพลังงาน แต่จะกระทบหนักมากกับกลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน และขนส่ง ดังนั้นจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน 

อย่างไรก็ตาม ยังมีมุมมองบวกต่อทองคำ เนื่องจากเป็น Asset Class ที่น่าสนใจทั้งการลงทุนใน Gold Future และกองทุนรวม เช่น K-GOLD เป็นต้น

ด้วยสภาวะตึงเครียดและผันผวนแบบนี้ คงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปอย่างใกล้ชิดว่า ความขัดแย้งจะยืดเยื้อ และกินเวลานานแค่ไหน ซึ่งต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องคอยติดตามแบบ real-time เลยทีเดียว เพราะหากพลาดแค่วินาที อาจจะทำให้เสียเงินก้อนโตไปเลยก็ได้ 

Avatar photo