เหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่าง สหรัฐ กับ อิหร่าน หลังการเสียชีวิตของพล.อ.กัสเซ็ม โซเลมานี ผู้บัญชาการหน่วยคุดส์ ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม และเป็นผู้ทรงอิทธิพลอันดับที่ 2 ของอิหร่าน เป็นรองแค่อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมนี ผู้นำสูงสุด
อิหร่านประกาศเอาคืนสหรัฐแบบทบต้นทบดอกพร้อมตั้งค่าหัวทรัมป์ 80 ล้านดอลลาร์หรือราว 2,400 ล้านบาท หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ สั่งให้กองทัพอเมริกันใช้โดรนสังหารผู้นำทหารคนสำคัญ ส่วนทรัมป์ ก็ตอบโต้ว่าได้ตั้งเป้า 52 จุด รวมถึง แหล่งเกี่ยวโยงกับวัฒนธรรมในอิหร่าน สำหรับการทำลาย “เร็วและรุนแรง” หากอิหร่านเอาคืน
การแสดงออกของทรัมป์แบบนี้ทวีความโมโหให้อิหร่านเพิ่มมากขึ้นจนหลายฝ่ายวิตกกังวลว่าอาจจะก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 และความตึงเครียดนี้เริ่มส่งผลกระทบต่อวงการกีฬาบ้างแล้ว
ทีมฟุตบอลสหรัฐ ที่มีแผนเดินทางไปเก็บตัวที่กาตาร์ เป็นเวลา 20 วันเพื่อเตรียมทีมสำหรับทำศึกฟุตบอลรายการ 2020 คอนคาเคฟ เนชันแนลลีก ไฟนอล ช่วงเดือนมีนาคม 63 ประกาศยกเลิกแผนนี้แล้วพร้อมกับปรับแผนไปฝึกซ้อมที่รัฐฟลอริดา แทน
ขณะที่บาร์เรน ที่มีโปรแกรมจัดการแข่งขันรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก หรือ ฟอร์มูวัน 2020 ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ที่สนามบาห์เรน อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เมืองซาเคียร์ กำลังวิตกถึงสถานการณ์ตึงเครียดนี้อาจทำให้เกิดความกังวลเรื่องความปลอดภัยแถบตะวันออกกลางและหากเป็นเช่นนั้นจริงอาจต้องประกาศยกเลิกจัดการแข่งขัน
ถ้าเกิดการยกเลิกบาร์เรน กรังด์ปรีซ์ 2020 จะส่งผลกระทบเป็นความเสียหายเกินกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,000ล้านบาท หากนับเฉพาะทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันจะสูญเงินรวมประมาณ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,200 ล้านบาท โดยทีมเฟอร์รารี่ จะได้รับความเสียมากที่สุด ประมาณ 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 330 ล้านบาท นอกจากนี้ต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บค่าบัตรเข้าชมไม่ต่ำกว่า 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 420 ล้านบาท
ในอดีตบาห์เรนเคยทำยกเลิกการแข่งขันมาแล้วเมื่อปี 2011 เนื่องจากปัญหาความวุ่นวายประท้วงต่อต้านรัฐบาลจนมีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 7 รายและบาดเจ็บนับร้อยในกรุงมานามา เมืองหลวงของบาห์เรน และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ ซัลมาน บิน ฮามาด บิน ไอซา อัล คาห์ลิฟา มกุฎราชกุมารแห่งบาห์เรน ซึ่งเป็นผู้เซ็นสัญญาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันทรงออกแถลงการณ์ยกเลิกการแข่งขันในเวลาต่อมา
ส่วนวงการฟุตบอลนั้นแฟนบอลลิเวอร์พูลกำลังกังวลว่าหากสถานการณ์ระหว่างสหรัฐ กับอิหร่าน ยังตึงเครียดต่อเนื่อง ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 และหากเป็นเช่นนั้นพรีเมียร์ลีกอาจต้องยุติการแข่งขัน เหมือนที่เคยยกเลิกทำการแข่งขันเมื่อคราวเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างปี 1915-1919 และ สงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างปี 1939-1946
และหากพรีเมียร์ลีกยกเลิกการแข่งขันลิเวอร์พูลที่มีแนวโน้มสูงที่จะได้ฉลองแชมป์ลีกหนแรกในรอบ 30 ปีหลังนำโด่งเป็นจ่าฝูง ทิ้งห่างอันดับสองถึง 13 คะแนนเมื่อผ่านครึ่งซีซั่นมาต้องอดฉลองแชมป์ไปโดยปริยาย
ทั้งนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความหวั่นวิตกเท่านั้น โดยล่าสุดเกือบทุกฝ่ายมีเห็นตรงกันว่าสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่าน กับ สหรัฐนั้น มีโอกาสเกิดสงครามอ่าวเปอร์เซียอีกครั้ง แต่ไม่ถึงขั้นกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 เนื่องจากในพื้นที่นี้มีสงครามลักษณะตัวแทนหรือกลุ่มย่อยเกิดขึ้นต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มไอเอส กลุ่มย่อย และกลุ่มชาติพันธุ์ โดยมีผู้นำทางทหารของอิหร่านควบคุมกลุ่มเหล่านี้ซึ่งเป็นเครือข่ายก่อการร้าย แต่คงไม่บานปลายถึงขั้นเกิดสงครามโลก
