Economics

พิพาท ‘สหรัฐ -อิหร่าน’ ดันทองคำแตะ 1,626 ดอลลาร์ น้ำมันพุ่ง 76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

นักลงทุนรุ่นใหม่ เผยความวุ่นวายระหว่างสหรัฐ และอิหร่าน บวกกับสภาพคล่องในตลาดการเงินที่ยังล้นและดอกเบี้ยไม่มีแนวโน้มขาขึ้น อาจดันราคาทองคำพุ่งแตะ 1,626 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาน้ำมันอาจพุ่งแตะระดับ 76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ชี้ปัจจัยเสี่ยงการลงทุนเพิ่มเติมจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และ Brexit

นายณพวีร์ พุกกะมาน ผู้บริหารส่วนภูมิภาค จีเอ็มไอ เอดจ์ กลุ่มสถาบันการเงินจากประเทศอังกฤษ และผู้ก่อตั้ง Creative Investment Academy (CIA) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการที่สหรัฐอเมริกาและอิหร่านออกมาประจันหน้ากันในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์สำคัญอย่างทองคำและน้ำมัน

dollar 544956 1280

ทั้งนี้พบว่า ราคาทองคำ ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 6.5% นับจากจุดต่ำสุดในวันที่ 9 ธันวาคม และกำลังจะทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1,555 ดอลลาร์ เป็นจุดสูงสุดเดิมที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน หรือกว่าสามเดือนมาแล้ว โดยปัจจัยผลักดันในขณะนั้นคือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

“หลังจากที่สหรัฐได้เปิดฉากการรบกับอิหร่านจนอาจจะนำไปสู่สงครามที่แท้จริง ได้ดันให้ราคาทองคำพุ่งอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากผ่านระดับ 1,555 ดอลลาร์ ไปได้ ทองคำจะเข้าสู่ภาวะกระทิงอย่างเต็มตัวในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)”นายณพวีร์ กล่าว

ขณะที่ในระยะสั่น มองว่า ทองคำเข้าเขตซื้อมากเกินไป (Overbought) การเปิดตลาดในเช้าวันจันทร์หากราคาไม่สามารถผ่าน 1,555ดอลลาร์ ไปได้จ ะเป็นโอกาสทำกำไรระยะสั้นในขาลง แต่หากทำกำไรได้แล้วต้องรีบปิดสถานะ เพราะแนวโน้มระยะกลางทองคำน่าจะเป็นขาขึ้นจากความไม่สงบในตะวันออกกลาง

Nopavee
ณพวีร์ พุกกะมาน

สำหรับเป้าหมายระะยะกลางของทองคำอยู่ที่ระดับ 1,626 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับราคาไฟโบนาชี่ 161.8 ในระยะสั้น แต่ถ้าใช้ไฟโบนาชี่ในระยะยาว ทองคำจะมีเป้าหมายต่อไปที่ 1,737 ดอลลาร์ เป็นระดับไฟโบนาชี 261.8 และเป้าหมายสุดท้ายคือที่จุดสูงสุดเดิม 1,920 ดอลลาร์

อีกปัจจัยสนับสนุน คือการพิมพ์เงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องของธนาคารกลางใหญ่ๆของโลก  เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยผลักดันราคาทองคำได้เช่นกัน รวมถึงธนาคารกลางประเทศต่างๆ ได้หันมาสะสมทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะยังไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ทั้งหมดคือปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ

ในส่วนของราคาน้ำมันดิบ WTI ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน จากการที่เหตุความวุ่นวายในตะวันออกกลางจะทำให้การผลิตน้ำมันออกสู่ตลาดทำได้ยากขึ้น โดยปัจจัยทางเทคนิคตอนนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI หากผ่านระดับ 64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลไปได้ จะพ้นแนวโน้มไซด์เวย์แล้วพลิกกลับเป็นขาขึ้นอย่างเต็มตัว โดยมีเป้าหมายราคาต่อไปที่ 76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็นจุดสูงสุดเดิมตั้งแต่ปีที่แล้ว

gold 163519 1280

อย่างไรก็ตาม คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกมีแนวโน้มจะชะลอลงตามเศรษฐกิจโลกที่ถูกกดดันด้วยปัจจัยสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ ที่ยังคงยืดเยื้อต่อ แม้จะมีการเจรจาระยะแรกจบไปแล้วก็ตาม แต่ยังมีอีกหลายข้อตกลงที่ต้องเจรจาต่อ  คาดว่าไม่น่าจะมีท่าจบลงได้ในเวลาอันสั้น ถ้าหากประเด็นเรื่องสงครามเงียบลงไปอาจจะกดดันราคาน้ำมันได้

ความเสี่ยงสำคัญในปี 2563 คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กรณีที่อลิซาเบธ วอเรน จากพรรคเดโมแครตสามารถชนะการเลือกตั้งจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินรวมถึงค่าเงินดอลลาร์รวมถึงประเด็นเรื่อง Brexit ยังไม่สามารถไว้วางใจได้ ยังพร้อมเป็นปัจจัยเสี่ยงในการลงทุนในปีนี้

Avatar photo